ผ่าประเด็นร้อน
น่าจะเป็นครั้งแรกที่กองทัพบกเริ่มเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการทำคดีที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง โดยเฉพาะกรณีการเสียชีวิตจำนวน 6 ศพภายในวัดปทุมวนารามวรวิหาร เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จากเดิมที่เคยอยู่ในมือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถ่ายโอนมาที่ฝ่ายตำรวจโดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล และมีการสรุปสำนวนส่งฟ้องศาล และกำลังอยู่ในขั้นตอนไต่สวนมีการเบิกความของพยานปากแรกๆ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ทางกองทัพบกได้มีการแถลงชี้แจงเป็นครั้งแรกโดย พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กรณีที่ พ.ต.อ.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ที่รับโอนคดีมาจากดีเอสไอ ได้ให้การต่อศาลเมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมาในทำนองว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดมาจากฝีมือของเจ้าหน้าที่ทหาร โดยอ้างหลักฐานทั้งจากพยานและอาวุธ เช่น กระสุนปืนที่เป็นชนิดพิเศษ
อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะมีการวิเคราะห์กันต่อไปก็ต้องมาพิจารณากันในรายละเอียดคำชี้แจงจากฝ่ายกองทัพบกเสียก่อนแยกออกเป็น 3 ประเด็นดังนี้
ประเด็นแรก ผู้เสียชีวิต 5 ศพถูกยิงด้วยกระสุน .223 หัวสีเขียว เป็นกระสุนที่ใช้กับปืนเอ็ม 16 และปืนทาโวร์ ที่มีการระบุมีใช้เฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้น โดยข้อเท็จจริงคือ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 53 เจ้าหน้าที่ได้ถูกปล้นปืนและกระสุนบริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า เป็นอาวุธปืนทาโวร์ 12 กระบอก พร้อมกระสุน .223 หัวสีเขียว จำนวน 700 นัด ปืนลูกซอง 35 กระบอก พร้อมกระสุนยาง 1152 นัด ซึ่งได้แจ้งความไว้ที่ สน.บางยี่ขัน 15 เม.ย. 53 และในวันเดียวกัน เวลา 20.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารได้ถูกปล้นปืนบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นปืนทาโวร์จำนวน 13 กระบอก และได้แจ้งความไว้ที่ สน.ชนะสงคราม เมื่อวันที่ 13 เม.ย.และวันที่ 15 เม.ย. 53 เจ้าหน้าที่ได้ถูกปล้นปืนบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงเป็นอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 2 กระบอก และกระสุนเอ็ม 16 อีก 100 นัด ซึ่งปืนและกระสุนที่ถูกปล้นไปเหล่านี้มีหลักฐานว่าได้นำมาก่อเหตุหลายเหตุการณ์
ส่วนประเด็นการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ ที่ระบุว่าไม่พบร่องรอยจากการยิงจากบริเวณด้านล่างขึ้นไปบนสถานีรถไฟฟ้า ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงการเคลื่อนกำลังทหารขณะนั้น ไม่สามารถผ่านแยกเฉลิมเผ่าเข้าไปได้ เนื่องจากชายชุดดำอยู่บนพื้นราบได้ยิงสกัดเจ้าหน้าที่ไม่ให้มีการเคลื่อนกำลังเข้าไป และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่สอบสวนได้สอบทหารได้ให้การเห็นชายชุดดำ ว่าชายชุดดำได้หลบอยู่บริเวณตอม่อต้นที่ 1 นับจากบริเวณแยกเฉลิมเผ่า (ถนนพระราม 1 ตัดกับถนนอังรีดูนังต์) และได้ใช้ปืนความเร็วสูงยิงเจ้าหน้าที่ สังเกตได้จากกระสุนปืนกระทบตอม่อ และคานปูนของรถไฟฟ้า ซึ่งแตกกระจายและมีฝุ่นตลบจำนวนมาก ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนสอบสวน และมีภาพถ่ายของรอยกระสุนอยู่บริเวณรถไฟฟ้าสยาม “แต่ไม่มีการกล่าวถึง”
นอกจากนี้ ประเด็นภาพถ่ายของประจักษ์พยานนำมาให้หลังเกิดเหตุ พบว่า บนรางรถไฟมีเพียงเจ้าหน้าที่เท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงเจ้าหน้าที่ทหารวางกำลังอยู่บนรางรถไฟฟ้าจริง แต่การวางกำลังนั้น ไม่ได้วางตลอดแนว เพราะถูกขัดขวางตลอดเวลา และแนวที่วางกำลังไปได้แค่สถานีรถไฟฟ้าสยาม ถึงวัดปทุมวนารามฯ เท่านั้น โดยข้อมูลดังกล่าว ทบ.ได้ส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะกรรมการวุฒิสภา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและพิจารณาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม กองทัพบกไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรม แต่คาดหวังว่าทุกฝ่ายจะทำหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบตามหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
“เรามาชี้แจงเพราะเป็นในส่วนของประชาสัมพันธ์ เนื่องจากพบข้อมูลที่เสนอเป็นข่าวว่าเนื้อหาเป็นเช่นนี้ เราก็ชี้แจงเพิ่มเติม ไม่อยากให้ปักใจเชื่อหรือเข้าใจผิดในสิ่งที่นำเสนอ ซึ่งเราไม่ได้ไปตอบโต้ใคร แต่พูดในข้อมูลในส่วนของเรา และเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับ ผบ.ทบ. แต่เราเห็นว่าเป็นประเด็นที่กระทบต่อกองทัพบกจึงได้ออกมาชี้แจง” พ.อ.วินธัยระบุ
นั่นเป็นคำแถลงอย่างเป็นทางการในนามกองทัพบก แม้ว่าจะพยายามดูให้ซอฟลงมาบ้างก็ตาม พยายามกัน ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกไปก็ตาม แต่เนื้อหาและสาระสำคัญก็เป็นการตอบโต้อย่างเข้มต่อการทำสำนวนของฝ่ายตำรวจและให้การต่อศาลว่าฝ่ายทหารได้เป็นผู้กระทำผิด พูดตรงๆก็คือทำให้คนเสื้อแดงในวัดปทุมวนารามเสียชีวิต 6 ศพ นั่นเอง
มองให้ดีก็จะเห็นว่า เมื่อตำรวจทำสำนวนออกมาแบบนี้มันก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักความเชื่อให้กับคนเสื้อแดงและบรรดาหัวโจกนำมาขยายผลเพื่อสร้างกระแสกดดันทางการเมืองได้อีก ขณะเดียวกัน เมื่อกล่าวหาทหารว่าเป็นผู้ก่อเหตุในวัดปทุมฯแล้วมันก็ทำให้สามารถสรุปแบบตอกย้ำในเรื่อง 98 ศพว่าเป็นฝีมือใครได้ไม่ยาก
ในทางกฎหมาย แม้ว่าการปฏิบัติหน้าของฝ่ายทหารจะได้รับการคุ้มครองตามพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินก็ตาม แต่ในทางการเมืองทหารกลายเป็น “จำเลย” และนี่ถือว่าเป็นเป้าหมายอันชั่วร้ายของอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อลากให้ทหารลงมาต่อรอง เข้าสู่กระบวนการปรองดองแบบล้างผิดเจ๊าๆ กันไปก็ได้ แต่ขณะเดียวกันถ้าเดินไปในเส้นทางแบบนี้ฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายทักษิณ ก็จะถือแต้มต่ออยู่ในมือนั่นเอง และบีบให้เข้าสู่เป้าหมายที่ตัวเองกำหนดเอาไว้
อย่างไรก็ดี เกมนี้ถือว่าน่าจับตา เพราะเชื่อว่าฝ่ายทหารและกองทัพคงยอมไม่ได้ที่จะต้องกลายมาเป็นจำเลยทั้งในศาลและข้างนอก เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงมันจะสร้างผลกระทบภายในอย่างใหญ่หลวง ระบบการสั่งการจะรวนไปหมด ในอนาคตจะไม่มีใครกล้าเสี่ยง เหมือนกับการ “ลอยแพ” อีกทั้งนี่คือศักดิ์ศรีของทหารที่ไม่ต่างจากการถูกหยาม ซึ่งน่าจับตาเป็นอย่างมาก เพราะนี่ขนาดเพียงแค่เริ่มต้นในขั้นสืบพยานยัง “เข้ม” กันถึงขนาดนี้ ถ้างวดเข้ามาอีก และเป้าหมายพุ่งมาที่กองทัพอย่างที่เปิดหัวเอาไว้ดังกล่าวข้างต้น มันก็น่าหวาดเสียวนัก!!