คณะทำงานอัยการขยายเวลาชี้ขาด คดีปั่นหุ้นบริษัท ทีพีไอ หลังศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง “ประชัย-เชียรช่วง” กับพวก ไม่ต้องจ่าย 6.9 พันล้าน ลุ้น อัยการอาจตัดตอนไม่ฎีกา ตามรอยคดี “หญิงอ้อ” เลี่ยงภาษีชินฯ
วันนี้ (4 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูงในศาลอุทธรณ์ ถึงความคืบหน้าคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.ทีพีไอ บริษัท สเติร์น สจ๊วต (ประเทศไทย) จำกัด และ นายเชียรช่วง กัลยาณมิตร กรรมการบริหาร บจก.สเติร์น เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นบริษัทเจ้าของหลักทรัพย์ หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในหลักทรัพย์ เผยแพร่ข้อมูล และร่างหนังสือชี้ชวนการเสนอขายหลักทรัพย์ก่อนวันที่หนังสือชี้ชวนจะมีผลบังคับใช้ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์ใดจะมีราคาสูงขึ้น หรือลดลง (ปั่นหุ้น) และร่วมกันกระทำการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่ผู้รับผิดชอบในการดำเนินกิจการของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ม.77 และ 239 และประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 4 ร่วมกระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 77, 239, 280, 296 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยกระทำความผิดเป็นความผิดหลายกรรมต่างวาระ ให้ลงโทษเรียงกระทงตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 91 ในความผิดฐานเผยแพร่ข้อมูลและร่างหนังสือเสนอชี้ชวนการเสนอขายหลักทรัพย์ก่อนวันที่หนังสือชี้ชวนจะมีผลบังคับใช้ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์จะมีราคาสูงขึ้นหรือลดลง (ปั่นหุ้น) ให้ปรับจำเลยที่ 1 และ 3 คนละ 300,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 กับ 4 คนละ 1 ปี ส่วนในความผิดฐานร่วมกันกระทำการใดๆอันเป็นการช่วยเหลือในการดำเนินกิจการของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ พิพากษาให้ปรับจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นจำนวนเงินคนละ 6,900 ล้านบาท และจำคุกจำเลยที่ 2 และ4 คนละ 2 ปี รวมปรับจำเลยที่ 1 และ 3 คนละ 6,900,300,000 บาท และรวมจำคุกจำเลยที่ 2 และ 4 คนละ 3 ปี การกระทำความผิดของจำเลย ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรง และทางอ้อม จึงไม่มีเหตุรอลงอาญา ต่อมาจำเลยทั้ง 4 ได้อุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง และเมื่อวันที่ 19 ส.ค.54 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สำหรับคดีนี้ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอขยายเวลาการพิจารณาฎีกา ของคณะทำงานอัยการ ต่อไปอีก 30 วัน ก่อนที่จะส่งให้ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุดมีดุลยพินิจชี้ขาด ว่าจะยื่นฎีกา หรือ ไม่ฎีกา จากเดิมจะครบกำหนดเวลายื่นฎีกา เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2554
อย่างไรก็ตาม มีรายงานแจ้งว่า สำหรับคดีปั่นหุ้นบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด พบว่า ทีมทนายความเป็นทนายความชุดเดียวกับคดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ป ที่ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ คุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์ หรือ ชินวัตร และ นางกาญจนาภา หงส์เหิน ตกเป็นจำเลยที่ 1-3 ฐานร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามตามฟ้อง โดยจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 3 ปี จำคุกจำเลยทั้ง 3 เป็นเวลา 2 ปี ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ส.ค.54 ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37(2) ให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี แต่เพื่อให้จำเลยที่ 1 หลาบจำจึงเห็นควรให้ลงโทษปรับด้วย โดยปรับเป็นเงิน 1 แสนบาท ส่วนจำเลยที่ 2-3 พิพากษายกฟ้อง และเมื่อวันที่ 26 ก.ย.54 นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด กลับมีมติเห็นคล้อยตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในทุกประเด็น และมีมติไม่ยื่นฎีกาในคดีดังกล่าว
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สำหรับคดีของ นายประชัย มีแนวโน้มสูงที่ อัยการสูงสุด จะไม่ยื่นฎีกา คัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ประกอบกับขณะนี้ พบว่า ได้มีการวิ่งเต้นคดีเพื่อต้องการให้คดียุติลง ด้วยการที่อัยการไม่ยื่นฎีกา เหมือนกับคดีภาษีชินฯ