อัยการยื่นศาลสั่ง “อัลรู ไวรี” นักธุรกิจซาอุฯ เป็นบุคคลสาบสูญอีกครั้ง หลังดีเอสไอแจ้งให้เดินหน้าอุทธรณ์ “อธิบดีอัยการฝ่ายช่วยเหลือกฎหมาย” แจงยังไม่มีหลักฐานใหม่ แต่เพียงพอให้ศาลอุทธรณ์สั่งกลับศาลชั้นต้นได้
วันนี้ (4 ธ.ค.) นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน กล่าวถึงการยื่นอุทธรณ์ นายโมฮัมหมัด อัลรู ไวรี นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ซึ่งหายตัวไปตั้งแต่ ปี 2533 เป็นบุคคลสาบสูญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 61 เนื่องจากหายตัวเกินกว่า 5 ปี ว่าอัยการได้ดำเนินการยื่นอุทธรณ์คดีแล้ว ซึ่งครบกำหนดอุทธรณ์วันนี้ โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้มีหนังสือแจ้งความประสงค์ให้อัยการยื่นอุทธรณ์ต่อ หลังจากที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ มีคำสั่งยกคำร้องขอไปเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ การยื่นอุทธรณ์ไม่มีการยื่นเอกสารเป็นหลักฐานใหม่เพิ่มเติม แต่อัยการยืนยันหลักฐานเดิมที่นำสืบมาแล้ว ทั้งพยานบุคคล คือ พ.ต.ท.เบญจพล จันทวรรณ ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษเฉพาะด้าน 9 ดีเอสไอ และพยานเอกสารของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ซึ่งแสดงว่านายอัลรู ไวรี เข้ามาประเทศไทย แต่ไม่มีข้อมูลที่แสดงว่าเดินทางออกนอกประเทศ และเอกสารการแจ้งความคนหายที่ยื่นประกอบว่าเพียงพอที่จะรับฟังได้แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องนำภรรยา หรือญาติ ที่อยู่ประเทศซาอุดีอาระเบีย มาไต่สวน ซึ่งอัยการขอให้ศาลอุทธรณ์ มีคำสั่ง กลับคำสั่งศาลแพ่งกรุงเทพใต้ดังกล่าวให้นายอัลรู ไวรี เป็นบุคคลสาบสูญตามคำร้องขอดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ มีคำสั่งยกคำร้อง เนื่องจากเห็นว่าชั้นไต่สวนอัยการมีเพียง พ.ต.ท.เบญจพล จันทวรรณ ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษเฉพาะด้าน 9 ดีเอสไอ ซึ่งเป็นพยานบอกเล่า เบิกความเพียงปากเดียวว่า นายอัลรู ไวรี เข้ามาประกอบธุรกิจและพักอาศัยในไทยเมื่อปี 2528 แล้วหายตัวไปตั้งแต่เมื่อ 12 ก.พ.33 โดยทราบเรื่องการหายตัวไปจากการสืบสวนคดีที่รับโอนมาจากกรมตำรวจ ไม่ใช่ผู้รู้เห็นเหตุการณ์ในวันที่นายอัลรู ไวรี หายตัวไป ขณะที่ไม่มีภรรยาหรือญาติของนายอัลรู ไวรี มาเบิกความยืนยันการหายตัวไป และไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาเบิกความสนับสนุนคงมีเพียงเอกสารการแจ้งความ พยานหลักฐานเท่าที่มีในชั้นไต่สวน จึงยังไม่มีน้ำหนักรับฟัง