“พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม” เข้ารับทราบ 3 ข้อกล่าวหา “ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง-ข่มขืนใจผู้อื่น-ร่วมกันฆ่าผู้อื่นไตร่ตรองก่อน และอำพรางศพ” ในคดี “อัลรู ไวรี” พร้อมให้การปฏิเสธ ด้าน “สุชาติ” เด็ก “ทวี” อ้างหลักฐานของทั้งซาอุฯ-ไทย ชัดทั้งพยานบุคคลและวัตถุ ชี้ส่งอัยการได้ก่อนหมดอายุความปีหน้า
วันนี้ (25 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ประภาส ปิยะมงคล พ.ต.อ.สมชาย จูสนิท พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี จ.ส.ต.ประสงค์ ทอรั้ง ได้เดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ตามหมายเรียกคดีพิเศษที่ 4/2547 กรณีการหายตัวไปของนายมูฮัมหมัด อัลรู ไวรี นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ตามหมายเรียกครั้งที่ 2 ของทางพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่มี พ.ต.อ.สุชาติ วงษ์อนันต์ชัย รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าว
พ.ต.อ.สุชาติ วงษ์อนันต์ชัย รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า คดีนี้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ร่วมกับพนักงานอัยการ ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มมาโดยต่อเนื่องกระทั่งมีพยานหลักฐานเพียงพอเชื่อว่า พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม กับพวก เมื่อครั้งปฏิบัติหน้าที่ในสังกัดกองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาลใต้ มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด โดยทางพนักงานสอบสวนได้เรียกมารับทราบใน 3 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและซ่อนเร้นอำพรางศพ
พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบปากคำผู้ต้องหา เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ซึ่งการออกหมายเรียกในครั้งนี้มีพยานหลักฐานใหม่ทั้งพยานบุคคลและวัตถุ โดยมีทั้ง 2 ฝ่าย คือประเทศไทย และประเทศซาอุดีอาระเบียด้วย
ทั้งนี้ ดีเอสไอได้รับความร่วมมือจากทางอัยการฝ่ายคดีพิเศษมาร่วมกันสอบสวนในรูปแบบคณะกรรมการร่วม สำนวนคดีจึงมีความรัดกุม ซึ่งในส่วนของพยานหลักฐานคงจะยังลงลึกในรายละเอียดไม่ได้ เพราะเกรงว่าจะไปกระทบความปลอดภัยของพยาน รวมไปถึงจะทำให้รูปคดีเสียได้
อย่างไรก็ตาม ทางพนักงานสอบสวนเชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นานไม่เกินเดือนธันวาคมในการสรุปพยานหลักฐาน เพื่อส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาก่อนที่คดีจะหมดอายุความในวันที่ 12 ก.พ.53