รัฐธรรมนูญนั้น รู้ๆ กันอยู่ว่าแก้ไขได้นะครับ
แต่จะแก้ไขอย่างไรนั้น ก็ต้องดูว่าการแก้ไขนั้นเพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือเพื่อช่องโหว่
แต่ก็ไม่ใช่ว่าสักจะแก้ไขเพื่อให้ประโยชน์แต่รัฐบาลเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เท่ากับเอารัฐบาลมาเป็นแค่เครื่องมือทางการเมืองเท่านั้น
คือไม่ได้มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะไปแก้ไข
บัดนี้เป็นที่วิจารณ์แล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพตลอดโยงถึงชีวิตและความเป็นอยู่ต่อชีวิตของคนส่วนใหญ่นั้น ทำท่าจะไม่ได้เป็นไปดังคาด
มีว่าได้กำหนดให้องค์กรอิสระ ซึ่งจะประกอบไปด้วยผู้แทน องค์กรเอกชนเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน และมีตัวแทนจากสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการสิ่งแวดล้อม, หรือเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ จะมาให้ความเห็นประกอบได้ ทั้งนี้ก่อนที่โครงการจะเดินหน้าทำการได้
กล่าวได้ว่า 2 ปี ไปแล้ว
ไม่เกิดหรอก องค์กรอิสระที่ว่านี้ ซึ่งจะต้องมีนะครับตามมาตรา 61 และนักการเมืองเองซึ่งจะอยู่ในกระบวนการดูแลแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ปล่อยทิ้งไว้
คือพูดง่ายๆ สั้นๆ ว่าไม่เหลียวแล
กลับให้ประชาชนต้องหันมาแก้ปัญหากันเอง ซึ่งทำได้เท่าที่เห็นคือ ต้องประท้วงบ้าง ต้องชุมนุมเรียกร้องต่อทางการบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้ผลมากไปกว่าทางการนำไปพิจารณาซึ่งหมายความว่ามันไม่ได้เกิดกระบวนการที่ต่อเนื่อง
รอต่อไป แล้วก็เริ่มชุมนุมกันอีกยก
วัฏฏะแบบนี้รู้ๆ กันอยู่
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลายเป็นเรื่องที่เอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองไปแล้วครับท่าน
แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4 ประเด็นซึ่งตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและการศึกษาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ฟังดูแต่แรกก็ชัดเจนว่าเป็นเรื่องของส่วนรวม
กลับกลายเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองเสียฉิบ อาจมีเรื่องส่วนรวมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นอะไรมากกว่าเรื่องสัญญา ที่ความเห็นชอบสภาต้องทำก่อน
อีก 5 ประเด็นกลายเป็นเรื่องยุบพรรค, เรื่องถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค, ที่มาของ ส.ส. ฯลฯ
เห็นหรือยังว่ามันแค่เป็นประเด็นผลประโยชน์ที่ประชาชนไม่เกี่ยวเลยคร๊าบ
อย่างนี้แล้วจะแก้ไขไปทำไม
อีกอย่างหนึ่งที่ควรมองก็คือ
การสมานฉันท์ ใจความก็บอกอยู่โทนโท่ว่าเกี่ยวโดยตรงกับการยุติเรื่องความแตกแยกของคนในประเทศ
พูดง่ายๆ ไม่อยากให้ประเทศชาติมีคนแบ่งแยกหรือเกิดความบาดหมางกัน
เป็นเรื่องที่ดี... กระนั้นก็ตาม ผมยังคิดว่ามันยังมิใช่สาระที่จะเอามันไปใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐ
และรัฐนั้นมีเรื่องที่ต้องดูแลเรื่องสมานฉันท์อยู่แล้ว
อีกอย่างหนึ่งให้บทบัญญัติอื่นเขียนเกี่ยวโยงมายังเรื่องสมานฉันท์ก็ได้ เพลงชาติเสียอีกที่มีเนื้อร้อง “รวมชาติ” เอาไว้
ก็อย่างว่าแหละ มันก็แค่ “สักแต่ร้อง” เท่านั้น
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันจึงเป็นเครื่องมือที่นักการเมืองริเริ่มที่จะลงมือทำเอง เล่นเอง และใช้ประโยชน์เอง
ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ครับ
พวกนักการเมืองเหล่านี้ดูแลตัวเองยังไม่ได้ ก็ไม่ควรที่จะมาดูแลรัฐธรรมนูญ ซึ่งควรเป็นเครื่องมือของประชาชนที่จะใช้ประโยชน์สำหรับคนทั้งชาติ
หาใช่ให้ท่านทำปู้ยี่ปู้ยำกันถึงเพียงนี้เสียกระไร
มันก็แปลกนะ ที่รัฐบาลเผด็จการมาจากการทำรัฐประหารคือต้นกำเนิดของรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ส.ส.อาจอ้างว่า มันมีที่มาแบบนี้ก็ได้
และก็อาจอ้างว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีความชอบธรรมมาตั้งแต่แรก
ทว่า... พวก ส.ส. เมื่อว่าอย่างนี้แล้ว ยังจะทำให้มันไร้ความชอบธรรมยิ่งกว่าเดิมหรืออย่างไร
ความจริงผมก็ไม่อยากเขี่ยคุ้ยเรื่องส.ส.แบบนี้หรอก แต่มันเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ และผมก็อยู่ในแผ่นดินนี้
ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ต้องทนก่นด่าพวกชนชั้นปกครองที่ผมไม่เคยยอมรับด้วยซ้ำว่ามีความชอบธรรมจากเสียงที่จัดซื้อ, จัดจ้าง, จัดหามา แบบที่ท่านทำมาทุกครั้ง!
แต่จะแก้ไขอย่างไรนั้น ก็ต้องดูว่าการแก้ไขนั้นเพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือเพื่อช่องโหว่
แต่ก็ไม่ใช่ว่าสักจะแก้ไขเพื่อให้ประโยชน์แต่รัฐบาลเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เท่ากับเอารัฐบาลมาเป็นแค่เครื่องมือทางการเมืองเท่านั้น
คือไม่ได้มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะไปแก้ไข
บัดนี้เป็นที่วิจารณ์แล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพตลอดโยงถึงชีวิตและความเป็นอยู่ต่อชีวิตของคนส่วนใหญ่นั้น ทำท่าจะไม่ได้เป็นไปดังคาด
มีว่าได้กำหนดให้องค์กรอิสระ ซึ่งจะประกอบไปด้วยผู้แทน องค์กรเอกชนเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน และมีตัวแทนจากสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการสิ่งแวดล้อม, หรือเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ จะมาให้ความเห็นประกอบได้ ทั้งนี้ก่อนที่โครงการจะเดินหน้าทำการได้
กล่าวได้ว่า 2 ปี ไปแล้ว
ไม่เกิดหรอก องค์กรอิสระที่ว่านี้ ซึ่งจะต้องมีนะครับตามมาตรา 61 และนักการเมืองเองซึ่งจะอยู่ในกระบวนการดูแลแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ปล่อยทิ้งไว้
คือพูดง่ายๆ สั้นๆ ว่าไม่เหลียวแล
กลับให้ประชาชนต้องหันมาแก้ปัญหากันเอง ซึ่งทำได้เท่าที่เห็นคือ ต้องประท้วงบ้าง ต้องชุมนุมเรียกร้องต่อทางการบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้ผลมากไปกว่าทางการนำไปพิจารณาซึ่งหมายความว่ามันไม่ได้เกิดกระบวนการที่ต่อเนื่อง
รอต่อไป แล้วก็เริ่มชุมนุมกันอีกยก
วัฏฏะแบบนี้รู้ๆ กันอยู่
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลายเป็นเรื่องที่เอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองไปแล้วครับท่าน
แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4 ประเด็นซึ่งตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและการศึกษาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ฟังดูแต่แรกก็ชัดเจนว่าเป็นเรื่องของส่วนรวม
กลับกลายเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองเสียฉิบ อาจมีเรื่องส่วนรวมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นอะไรมากกว่าเรื่องสัญญา ที่ความเห็นชอบสภาต้องทำก่อน
อีก 5 ประเด็นกลายเป็นเรื่องยุบพรรค, เรื่องถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค, ที่มาของ ส.ส. ฯลฯ
เห็นหรือยังว่ามันแค่เป็นประเด็นผลประโยชน์ที่ประชาชนไม่เกี่ยวเลยคร๊าบ
อย่างนี้แล้วจะแก้ไขไปทำไม
อีกอย่างหนึ่งที่ควรมองก็คือ
การสมานฉันท์ ใจความก็บอกอยู่โทนโท่ว่าเกี่ยวโดยตรงกับการยุติเรื่องความแตกแยกของคนในประเทศ
พูดง่ายๆ ไม่อยากให้ประเทศชาติมีคนแบ่งแยกหรือเกิดความบาดหมางกัน
เป็นเรื่องที่ดี... กระนั้นก็ตาม ผมยังคิดว่ามันยังมิใช่สาระที่จะเอามันไปใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐ
และรัฐนั้นมีเรื่องที่ต้องดูแลเรื่องสมานฉันท์อยู่แล้ว
อีกอย่างหนึ่งให้บทบัญญัติอื่นเขียนเกี่ยวโยงมายังเรื่องสมานฉันท์ก็ได้ เพลงชาติเสียอีกที่มีเนื้อร้อง “รวมชาติ” เอาไว้
ก็อย่างว่าแหละ มันก็แค่ “สักแต่ร้อง” เท่านั้น
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันจึงเป็นเครื่องมือที่นักการเมืองริเริ่มที่จะลงมือทำเอง เล่นเอง และใช้ประโยชน์เอง
ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ครับ
พวกนักการเมืองเหล่านี้ดูแลตัวเองยังไม่ได้ ก็ไม่ควรที่จะมาดูแลรัฐธรรมนูญ ซึ่งควรเป็นเครื่องมือของประชาชนที่จะใช้ประโยชน์สำหรับคนทั้งชาติ
หาใช่ให้ท่านทำปู้ยี่ปู้ยำกันถึงเพียงนี้เสียกระไร
มันก็แปลกนะ ที่รัฐบาลเผด็จการมาจากการทำรัฐประหารคือต้นกำเนิดของรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ส.ส.อาจอ้างว่า มันมีที่มาแบบนี้ก็ได้
และก็อาจอ้างว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีความชอบธรรมมาตั้งแต่แรก
ทว่า... พวก ส.ส. เมื่อว่าอย่างนี้แล้ว ยังจะทำให้มันไร้ความชอบธรรมยิ่งกว่าเดิมหรืออย่างไร
ความจริงผมก็ไม่อยากเขี่ยคุ้ยเรื่องส.ส.แบบนี้หรอก แต่มันเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ และผมก็อยู่ในแผ่นดินนี้
ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ต้องทนก่นด่าพวกชนชั้นปกครองที่ผมไม่เคยยอมรับด้วยซ้ำว่ามีความชอบธรรมจากเสียงที่จัดซื้อ, จัดจ้าง, จัดหามา แบบที่ท่านทำมาทุกครั้ง!