ASTV ผู้จัดการรายวัน - ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้สอบบัญชี เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ “สมชาย คุรุจิตโกศล”ต่อดีเอสไอ พร้อมสั่งพักงาน 2 ปี เหตุไม่ปฏิบัติงานสอบบัญชีให้เป็นไปตามมาตรฐานการสอบบัญชี และปฏิบัติงานบกพร่อง ในทุกขั้นตอนที่ควรจะสามารถตรวจพบการทุจริตของผู้บริหาร “สมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์”
จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษนายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ อดีตประธานกรรมการ บริษัท เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ SECC พร้อมพวกรวม 5 ราย ฐานกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต ด้วยการเบียดบังเอาทรัพย์สินบริษัทเป็นของตนเองหรือบุคคลอื่น โดยการจัดทำเอกสารอันเป็นเท็จ เกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้ารถยนต์ที่ไม่มีอยู่จริง เพื่อเป็นเหตุอำพรางให้ SECC จ่ายเงินค่ารถที่ไม่มีอยู่จริงดังกล่าวออกจากบริษัทเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่น อันทำให้บริษัทเสียหาย และงบการเงินของบริษัทเองได้แสดงรายการอันเป็นเท็จ เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 307 308 311 312 313 และ 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 นั้น
ทั้งนี้ จากพฤติกรรมการทุจริตและการจัดทำบัญชีและงบการเงินอันเป็นเท็จดังกล่าว อยู่ในวิสัยที่ผู้สอบบัญชีของ SECC จะสามารถตรวจพบได้ และรายงานให้ผู้ใช้งบการเงินทราบ หรืออย่างน้อยสามารถที่จะบ่งชี้ถึงความผิดปกติในรายงานการสอบบัญชี แต่รายงานของผู้สอบบัญชีสำหรับงบการเงินปี 2548 ถึงปี 2550 ของ SECC ที่มีนายสมชาย คุรุจิตโกศล บริษัท เอส. เค. แอคเคาน์แต้นท์ เซอร์วิสเซส จำกัด เป็นผู้ลงนาม กลับแสดงความเห็นอย่างไม่มีเงื่อนไข และไม่มีข้อบ่งชี้ถึงความผิดปกติของงบการเงินดังกล่าวแต่อย่างใด ทำให้ผู้ใช้งบการเงินนั้นหลงเข้าใจว่า งบการเงินดังกล่าวถูกต้องตามควร และน่าเชื่อถือ
สำนักงาน ก.ล.ต. จึงได้ทำการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนายสมชายในการสอบบัญชีงบการเงินของ SECC ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว พบว่า เหตุที่รายงานการสอบบัญชีไม่มีเงื่อนไขทั้งที่รายการสินค้าคงเหลือในงบการเงินเป็นเท็จ เกิดจากการที่นายสมชายไม่ปฏิบัติงานสอบบัญชีให้เป็นไปตามมาตรฐานการสอบบัญชี และปฏิบัติงานบกพร่อง ในทุกขั้นตอนที่ควรจะสามารถตรวจพบการทุจริตของผู้บริหาร SECC และแสดงความเห็นไว้ในงบการเงินในขั้นตอนการประเมินและวางแผนการตรวจสอบ การตรวจสอบ และการแสดงความเห็นในรายงานของผู้สอบบัญชี
ดังนั้น ก.ล.ต. จึงได้ดำเนินการ คือ ในด้านอาญา การไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการสอบบัญชีข้างต้น เข้าข่ายเป็นการกระทำผิดตามมาตรา 287 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. จึงได้กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เพื่อดำเนินการสอบสวนดำเนินคดีต่อเนื่องไปกับกรณีที่ได้กล่าวโทษอดีตผู้บริหาร SECC แล้ว ต่อไป ด้านวินัย การไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการสอบบัญชีข้างต้น เป็นการปฏิบัติงานบกพร่องอย่างร้ายแรง ทำให้นายสมชายขาดคุณสมบัติในการได้รับความเห็นชอบให้เป็นผู้สอบบัญชีของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ สช. 21/2546 เรื่อง การให้ความเห็นชอบผู้สอบบัญชี ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2546 ซึ่งออกตามความในมาตรา 61 แห่ง พระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ
นอกจากกรณี SECC นายสมชายยังได้ปฏิบัติงานสอบบัญชีงบการเงินของบริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) หรือ POMPUI สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2547 บกพร่องในการตรวจสอบความเพียงพอของค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้เงินให้กู้ยืมระยะยาวแก่บริษัทใหญ่ของ POMPUI ด้วย ก.ล.ต. โดยอาศัยอำนาจตามข้อ 15 (2) (ข) แห่งประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เรื่อง การให้ความเห็นชอบผู้สอบบัญชี ที่ สช. 21/2546 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2546 จึงได้สั่งพักการให้ความเห็นชอบนายสมชาย คุรุจิตโกศล จากการเป็นผู้สอบบัญชีของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ เป็นระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2552
จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษนายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ อดีตประธานกรรมการ บริษัท เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ SECC พร้อมพวกรวม 5 ราย ฐานกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต ด้วยการเบียดบังเอาทรัพย์สินบริษัทเป็นของตนเองหรือบุคคลอื่น โดยการจัดทำเอกสารอันเป็นเท็จ เกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้ารถยนต์ที่ไม่มีอยู่จริง เพื่อเป็นเหตุอำพรางให้ SECC จ่ายเงินค่ารถที่ไม่มีอยู่จริงดังกล่าวออกจากบริษัทเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่น อันทำให้บริษัทเสียหาย และงบการเงินของบริษัทเองได้แสดงรายการอันเป็นเท็จ เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 307 308 311 312 313 และ 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 นั้น
ทั้งนี้ จากพฤติกรรมการทุจริตและการจัดทำบัญชีและงบการเงินอันเป็นเท็จดังกล่าว อยู่ในวิสัยที่ผู้สอบบัญชีของ SECC จะสามารถตรวจพบได้ และรายงานให้ผู้ใช้งบการเงินทราบ หรืออย่างน้อยสามารถที่จะบ่งชี้ถึงความผิดปกติในรายงานการสอบบัญชี แต่รายงานของผู้สอบบัญชีสำหรับงบการเงินปี 2548 ถึงปี 2550 ของ SECC ที่มีนายสมชาย คุรุจิตโกศล บริษัท เอส. เค. แอคเคาน์แต้นท์ เซอร์วิสเซส จำกัด เป็นผู้ลงนาม กลับแสดงความเห็นอย่างไม่มีเงื่อนไข และไม่มีข้อบ่งชี้ถึงความผิดปกติของงบการเงินดังกล่าวแต่อย่างใด ทำให้ผู้ใช้งบการเงินนั้นหลงเข้าใจว่า งบการเงินดังกล่าวถูกต้องตามควร และน่าเชื่อถือ
สำนักงาน ก.ล.ต. จึงได้ทำการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนายสมชายในการสอบบัญชีงบการเงินของ SECC ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว พบว่า เหตุที่รายงานการสอบบัญชีไม่มีเงื่อนไขทั้งที่รายการสินค้าคงเหลือในงบการเงินเป็นเท็จ เกิดจากการที่นายสมชายไม่ปฏิบัติงานสอบบัญชีให้เป็นไปตามมาตรฐานการสอบบัญชี และปฏิบัติงานบกพร่อง ในทุกขั้นตอนที่ควรจะสามารถตรวจพบการทุจริตของผู้บริหาร SECC และแสดงความเห็นไว้ในงบการเงินในขั้นตอนการประเมินและวางแผนการตรวจสอบ การตรวจสอบ และการแสดงความเห็นในรายงานของผู้สอบบัญชี
ดังนั้น ก.ล.ต. จึงได้ดำเนินการ คือ ในด้านอาญา การไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการสอบบัญชีข้างต้น เข้าข่ายเป็นการกระทำผิดตามมาตรา 287 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. จึงได้กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เพื่อดำเนินการสอบสวนดำเนินคดีต่อเนื่องไปกับกรณีที่ได้กล่าวโทษอดีตผู้บริหาร SECC แล้ว ต่อไป ด้านวินัย การไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการสอบบัญชีข้างต้น เป็นการปฏิบัติงานบกพร่องอย่างร้ายแรง ทำให้นายสมชายขาดคุณสมบัติในการได้รับความเห็นชอบให้เป็นผู้สอบบัญชีของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ สช. 21/2546 เรื่อง การให้ความเห็นชอบผู้สอบบัญชี ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2546 ซึ่งออกตามความในมาตรา 61 แห่ง พระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ
นอกจากกรณี SECC นายสมชายยังได้ปฏิบัติงานสอบบัญชีงบการเงินของบริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) หรือ POMPUI สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2547 บกพร่องในการตรวจสอบความเพียงพอของค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้เงินให้กู้ยืมระยะยาวแก่บริษัทใหญ่ของ POMPUI ด้วย ก.ล.ต. โดยอาศัยอำนาจตามข้อ 15 (2) (ข) แห่งประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เรื่อง การให้ความเห็นชอบผู้สอบบัญชี ที่ สช. 21/2546 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2546 จึงได้สั่งพักการให้ความเห็นชอบนายสมชาย คุรุจิตโกศล จากการเป็นผู้สอบบัญชีของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ เป็นระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2552