ศาลอาญาอนุญาตขยายเวลาให้อัยการคดีพิเศษ 1 สืบหาทรัพย์สิน บมจ.ทีพีไอ จ่ายค่าปรับ 6.9 พันล้าน คดีปั่นหุ้น ถึง 21 ธ.ค.นี้
วันนี้ (11 มิ.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดพร้อมคดีสืบหาทรัพย์สิน บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) เพื่อชำระค่าปรับ คดีหมายเลขดำที่ อ.9377/2549 หลังจากที่ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.52 ให้จำคุก นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.ทีพีไอ จำเลยที่ 2 และนายเชียรช่วง กัลยาณมิตร กรรมการบริหารบริษัท สเติร์น สจ๊วต (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน จำเลยที่ 4 คนละ 3 ปี ที่กระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ในการเผยแพร่ข้อมูลนอกเหนือจากที่ได้แจ้งไว้ต่อตลาดหลักทรัพย์ (ปั่นหุ้น) และให้ปรับ บมจ.ทีพีไอโพลีน จำเลยที่ 1 และบริษัท สเติร์น สจ๊วต (ประเทศไทย) จำกัด จำเลยที่ 3 รายละ 6,900,300,000 บาท
โดยก่อนหน้านี้ศาลไต่สวนเพื่อสืบหาทรัพย์สินแล้ว เนื่องจาก บมจ.ทีพีไอ อ้างว่าไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะนำมาชำระ และนายประชัย ประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.ทีพีไอ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ให้ระงับการบังคับคดีชำระค่าปรับไว้ก่อน เนื่องคดียังไม่ถึงที่สุดอยู่ระหว่างอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องการของดบังคับคดี เนื่องจากเห็นว่าการบังคับคดี เป็นหน้าที่ของศาลอาญา ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น เป็นคนละส่วนการต่อสู้คดีในชั้นพิจารณาอุทธรณ์ ดังนั้น ศาลอาญาจึงมีคำสั่งให้ยุติการไต่สวนสืบหาทรัพย์สิน และให้ฟังผลความคืบหน้าการบังคับคดี บมจ.ทีพีไอในวันนี้
อย่างไรก็ดี นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อัยการผู้เชี่ยวชาญฝ่ายคดีพิเศษ 1 โจทก์ กล่าวว่า การนัดพร้อมเพื่อฟังคำสั่ง ที่ตนขอให้ศาลอนุญาตขยายเวลาสืบหาทรัพย์สิน บมจ.ทีพีไอ ซึ่งภายหลังที่ศาลอาญา มีคำบังคับให้ บมจ.ทีพีไอ นำเงิน 6.9 พันล้านบาทมาชำระค่าปรับ เมื่อสัปดาห์ก่อนก็ได้ดำเนินการตรวจสอบหาทรัพย์สินของ บมจ.ทีพีไอ ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในสำนวนคดีปั่นหุ้นของศาลอาญา แต่ยังไม่ได้รายละเอียดทรัพย์สิน เนื่องจากคดีนี้นายประชัย กับพวกยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ ทำให้สำนวนคดีไปอยู่ที่ศาลอุทธรณ์ จึงต้องรอเจ้าหน้าที่ศาลอาญาประสานขอตรวจสอบสำนวนกับทางศาลอุทธรณ์ อย่างไรก็ดี ศาลได้อนุญาตให้ขยายเวลาถึงวันที่ 21 ธ.ค.นี้ ส่วนการชำระค่าปรับของ บมจ.สเติร์นฯ นั้น ตามขั้นตอนกฎหมายอัยการจะต้องยื่นคำร้องขอบังคับคดีต่อ บมจ.สเติร์นฯ เหมือนที่ทำกับ บมจ.ทีพีไอฯ ซึ่งจะดำเนินการหลังจากนี้ โดยเบื้องต้นตรวจสอบหลักฐานพบว่าบริษัทแห่งนี้ยังเปิดกิจการอยู่ หากไม่นำเงินมาชำระก็จะต้องดำเนินการสืบหาทรัพย์สินเพื่อยึดมาชำระหนี้ต่อไป
