xs
xsm
sm
md
lg

ลุ้นพิพากษา"ศิโรตม์"อธิบดีสรรพากร เลี่ยงเก็บภาษีหุ้นชินฯ 738 ล้านเช้านี้

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร(คนกลาง) และทีมทนาย
ลุ้นศาลอ่านคำพิพากษา “ศิโรตม์” อดีตอธิบดีสรรพากร เลี่ยงเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป มูลค่า 738 ล้านบาท 9 โมงเช้าวันนี้ ที่เลื่อนมาจากกำหนดเดิม 27 ม.ค.ที่ผ่านมา สาเหตุศาลพิจารณาคำพิพากษายังไม่แล้วเสร็จ เอกสารมีจำนวนมาก

วันนี้ (26 ก.พ.) เวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 916 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีดำหมายเลขที่ อ.2953/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อายุ 59 ปี อดีตอธิบดีกรมสรรพากร นายวิชัย จึงรักเกียรติ อายุ 58 ปี อดีต ผอ.สำนักงานกฎหมาย กรมสรรพากร น.ส.สุจินดา แสงชมพู อายุ 57 ปี อดีตนิติกร 9 ชช. น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อายุ 49 ปี อดีตนิติกร 8 ว. และ น.ส.กุลฤดี แสงสายัณห์ อายุ 44 ปี อดีตนิติกร 7 ว. เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่เรียกเก็บ หรือตรวจสอบภาษีอากร ร่วมกันละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากรฯ และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลอาญา 154, 157 กรณีงดเว้นการคำนวณภาษีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ภริยา ในการโอนหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาท ให้กับนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายต่างมารดาของคุณหญิงพจมาน และกลุ่มคนรับใช้ ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย

อย่างไรก็ตามการอ่านคำพิพากษาเวลา 09.00 น.วันนี้ เลื่อนมาจากกำหนดเดิมวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากศาลยังพิจารณาสำนวนไม่แล้วเสร็จ เพราะพยานเอกสารหลักฐานมีจำนวนมาก

อย่างไรก็ตามสำหรับคดีนี้อัยการฟ้องว่าเมื่อวันที่ 7 พ.ย.40 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้โอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ที่อยู่ในชื่อของ น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี คนรับใช้เป็นผู้ถือหุ้นแทน จำนวน 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาท ให้แก่ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายต่างมารดาโดยไม่มีค่าตอบแทนซึ่งหุ้นจำนวนดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นซึ่งคำนวณเป็นเงินพึงได้ตาม ม.39 และ40 (8) แห่งประมวลรัษฎากรต้องเสียภาษีเป็นเงินประมาณ 270 ล้านบาทเศษ แต่นายบรรณพจน์กลับไม่เสียภาษีและไม่ได้แจ้งเรื่องการได้รับหุ้นให้กรมสรรพากรทราบ กระทั่งกรมสรรพากรมทราบเรื่องดังกล่าว จากผลของการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)ครั้งที่ 98/2543 ลงวันที่ 26 ธ.ค.43 ซึ่งพิจารณารายงานผลการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของพ.ต.ท.ทักษิณ แล้วมีมติว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงกรมสรรพากรจึงมีหนังสือลับด่วนที่สุดลงวันที่ 28 ธ.ค.43 ขอข้อมูลการตรวจสอบทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ คู่สมรส และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องจากคณะกรรมการ ปปช.

ต่อมาระหว่างวันที่ 28 ก.พ.- 5 ต.ค. 44 จำเลยทั้ง 5 ได้ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมาย โดยกรมสรรพากรได้เรียกนายบรรณพจน์ และคุณหญิงพจมานมาให้ถ้อยคำเรื่องการโอนหุ้นในคดีนี้ว่า นายบรรณพจน์ได้ช่วยเหลือธุรกิจของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ และภริยา คุณหญิงพจมานจึงยกหุ้นให้แก่บุตรชายของนายบรรณพจน์เพื่อเป็นของขวัญโดยนายบรรณพจน์ไม่ต้องทำอะไรเป็นสิ่งตอบแทนและไม่มีข้อผูกพันหรือสัญญาเนื่องจากขณะนั้นคุณหญิงพจมานและครอบครัวมีทรัพย์สินกว่า 2 หมื่นล้านบาทซึ่งเป็นการให้โดยเสน่หาเข้าหลักเกณฑ์ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร ม.42 (10) แต่เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมาย กรมสรรพากรจึงส่งเรื่องให้สำนักงานกฎหมาย กรมสรรพากรพิจารณาให้ความเห็นโดยจำเลยที่ 2-5 ได้ร่วมกันพิจารณาและวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวแล้วเห็นว่าคุณหญิงพจมานอยู่ในฐานะและวิสัยที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลทรัพย์สินแก่นายบรรณพจน์ได้ ควรได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีจากนั้น จำเลยที่ 2-5 จึงเสนอความเห็นให้จำเลยที่ 1 พิจารณาและวินิจฉัยสั่งการในการจัดเก็บภาษีอาการหรือตรวจสอบภาษีดังกล่าว แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ใช้ดุลยพินิจพิจารณาถึงข้อโต้แย้งให้เป็นที่ยุติก่อนและได้มีคำสั่งในฐานะผู้ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร(ในขณะนั้น)ให้ความเห็นชอบกับคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 2-5 เป็นผลให้กรมสรรพกรต้องยุติการตรวจสอบการเสียภาษีการโอนหุ้นบริษัทชินฯระหว่างคุณหญิงพจมานกับนายบรรณพจน์ ทำให้นายบรรณพจน์ไม่ต้องเสียภาษีเป็นเงินประมาณ 270 ล้านบาททั้งที่ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในการโอนหุ้นดังกล่าวไม่เข้าลักษณะการอุปการะและไม่ใช่การให้โดยเสน่หา จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์การยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี

โดยจำเลยทั้ง 5 พิจารณาและวินิจฉัยฟังจากคำให้การของคุณหญิงพจมาน และนายบรรณพจน์เพียงอย่างเดียวไม่ได้สอบสวนพยานบุคคล พยานเอกสารให้แน่ชัดว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำให้การของบุคคลทั้งสองหรือไม่ อันเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายโดยชัดแจ้งไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของรัฐและสาธารณชนเป็นสำคัญเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมีเจตนาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนายบรรณพจน์ที่ไม่ต้องเสียภาษีเป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย
กำลังโหลดความคิดเห็น