xs
xsm
sm
md
lg

2551 รอยด่างคนยุติธรรม

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

เป็นประจำทุกสิ้นปี ทีมข่าวอาชญากรรม ASTV/ผู้จัดการรายวัน จะนำเรื่องราว คดีความต่างๆที่น่าสนใจ ซึ่งเกิดขึ้นในรอบปี 2551 มาสรุปให้ผู้อ่านได้รับทราบว่า มีเรื่องใด เกิดขึ้นบ้าง และในปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ต่อสู้กับรัฐบาลนอมินีมาโดยตลอด และถือเป็นปีที่กระบวนการยุติธรรมถูกบั่นทอนและกล่าวถึงมากที่สุด อย่างชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่ต้นธารของกระบวนการยุติธรรม คือตำรวจนั้น เป็นที่ทราบกันดี ว่าเป็นวงการที่มีต้นทุนทางสังคมต่ำ แต่เมื่อตำรวจต่างรู้ตัวกันว่า ต้นทุนทางสังคมต่ำ ยังกลับประพฤติตัวให้ต่ำลงไปกว่าเดิม สร้างรอยด่างให้กับกระบวนการยุติธรรมไทย

"สุชาติ-อำนวย-ลือชัย"

กองบัญชาการตำรวจนครบาล หน่วยงานหลัก ที่ทำหน้าที่ดูแลประชาชน ในพื้นที่เมืองหลวง เป็นทัพหน้าที่ต้องคอยป้องกันอาชญากรรมทุกรูปแบบที่เกิดขึ้น และต้องสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ ตำแหน่งแม่ทัพนครบาลจึงน่าจะเป็นตำแหน่งที่ต้องการคนที่ทำงานเพื่อประเทศชาติ มิใช่เพียงทำเพื่อรับใช้การเมือง

พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว เป็นที่รู้กันว่าการก้าวเข้ามานั่งเก้าอี้ ผู้นำนครบาล ได้รับคำสั่งจากใครบางคนที่ไม่พอใจกับการปฏิบัติปราบปรามกลุ่มม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ของ "พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง" ที่เหมือนกับอ่อนข้อ ทำให้ม็อบได้ใจฮึกเหิม จนตัวเองต้องกระดอนไปนั่งตบยุงอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเพราะ “บิ๊กเบื๊อก” เป็นเพื่อนร่วมรุ่น นรต.26 ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"อดีตนายกรัฐมนตรี ความพยายามที่จะผลักดันม็อบพันธมิตร ก้างชิ้นโตที่ขวางคออยู่ เพื่อเปิดทางให้ รัฐบาล"สมชาย"ทำงานได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว จึงต้องตกมาเป็นการบังคับสั่งการของ น.1 คนใหม่ ด้วยบุคลิก “อ่อนนอก แข็งใน” โดยผู้เป็นนาย เชื่อว่าคำสั่งที่ได้รับมาในการสลายม็อบจะสำเร็จได้อย่างลุล่วง

หลังเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 7 วัน เช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาล "นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์" นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น จะต้องแถลงนโยบาย แต่เพราะพันธมิตรฯที่พยายามขัดขวางไม่ให้กลุ่ม ส.ส. และคณะรัฐมนตรีเข้าไปยังอาคารรัฐสภาได้ จึงเกิดการปะทะกันขึ้น ถึงขนาดมีการสั่งยิงแก๊สน้ำตาใส่ประชาชนจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต นั่นถือเป็นผลงานที่โดดเด่นที่สุดของ “บิ๊กเบื๊อก” พล.ต.ท.สุชาติ ผบ.เหตุการณ์

วันที่เข้ารับตำแหน่งนครบาล “บิ๊กเบื๊อก” คงเหมือนรู้ชะตากรรมตัวเองในอนาคต ที่ได้เผลอปากหลุดคำพูดแบบทีเล่นทีจริง กับเพื่อตำรวจด้วยกัน ว่า “ตอนนี้ต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน จะอยู่จนครบเทอมหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”

"พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน" รอง ผบช.น.สายล่อฟ้า ประจำ บช.น.พบว่าผลงานที่ผ่านมา ช่างสุดชั่ว ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวโทษกลุ่มพันธมิตรฯ ถึงขนาดป้ายความผิดในข้อหา ก่อการร้าย เนื่องมาจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ และยังขู่ เหล่าผู้ให้การสนับสนุนพันธมิตรฯ ว่าจะต้องถูก ปปง. เข้าตรวจสอบเส้นทางการเงิน ถึงขนาดที่จะยึดทรัพย์ ตามกฎหมายฟอกเงินอีกต่างหาก โดยมีสื่อขนามนามว่า"นวย นปช"

อีกราย โปรดอย่าลืม ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวของนายตำรวจผู้หนึ่งที่ใส่ “ชุดหมี” หรือชุดปฏิบัติการคลุมทั้งตัวและศีรษะ ขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบริเวณถนนรอบรัฐสภาอย่างเมามันนั้นติดตาผู้คนจำนวนมากที่ได้พบเห็นและชมภาพเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะภาพดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายและป่าเถื่อน เนื่องจากนายตำรวจผู้นี้นั้นใช้โล่ของเจ้าหน้าที่ผู้อื่นเป็นกำบัง และเมื่อสบโอกาสก็วิ่งออกจากแนวโล่เพื่อขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธเป็นระยะ

“นายตำรวจในชุดหมี”นั้นมีนามว่า "พ.ต.อ.ลือชัย สุดยอด"รองผู้บังคับการกองบังคับการ ตำรวจปฏิบัติการพิเศษ (รองผบก. ตปพ)

พ.ต.อ.ลือชัย สุดยอด เกิดเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2500 ปัจจุบันอายุ 51 ปี จบการศึกษาจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ และเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 33 ทั้งยังมีคุณวุฒิเพิ่มเติมเป็น ปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์ (พ.ศ. 2522) และ ประกาศนียบัตรการต่อต้านการก่อการร้ายจากหน่วยสวาท ประเทศสหรัฐอเมริกา หน่วยตระเวนชายแดน ณ ประเทศเยอรมันตะวันตก (พ.ศ.2528) และผ่านหลักสูตร รร.ผกก.รุ่นที่ 35 จาก สบพ. (พ.ศ.2534)

ทั้งนี้การโชว์ออฟผ่านสื่อสารมวลชนของ พ.ต.อ.ลือชัย สุดยอด ที่เป็นการปรากฏตัวในฐานะ “มือระเบิด”โดยมีภาพหลักฐานตามหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์หลายช่องปรากฏเป็นหลักฐานที่มัดตัวและชี้ชัดว่า ณ วันนี้ พ.ต.อ.ลือชัย นิยมการเจรจาด้วย “ลูกระเบิด”

"ทวี สอดส่อง"ทำงานเพื่อใคร?

"การแยกกระทรวงยุติธรรมออกจากศาล ตนได้เสนอด้วยตัวเอง รวมทั้งการเสนอตั้งดีเอสไอ เมื่อปี 2535 สมัยนายกฯ นายชวน หลีกภัย และนายไสว พัฒโน เป็นประธานปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม หลังเกิดอุ้มฆ่า 2 แม่ลูกตระกูลศรีธนะขันธ์ เพื่อถ่วงดุลอำนาจของตำรวจ ที่ผ่านมาการใช้กฎหมายยังไม่เป็นไปตามเจตนารมย์ตั้งดีเอสไอ วันนี้คนเสนอกฎหมายและคนใช้จะเป็นคนเดียวกัน ดีเอสไอจะไม่ใช่ตำรวจ 2 และยังไม่ย้ายอธิบดีดีเอสไอ ต้องให้โอกาส การทำงานต้องไม่มองว่าเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ให้ดูพฤติการณ์ความผิด พยานหลักฐาน อธิบดีดีเอสไอ ต้องยึดหลักนี้ เขียนหลักปฎิบัติให้ชัดเจน ไม่ให้มีการแทรกแซง ถ้าปล่อยให้ดีเอสไอ เป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 จะทำให้มีอำนาจไปใช้กับประชาชนถึง 2 เท่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ต้องสำนึกและมีคุณธรรมในการค้านอำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ"

นั่นคือคำพูดของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ได้พูดถึง ดีเอสไอ ในโอกาสเดินทางเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2551

สำหรับองค์กร"กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ"คงปฎิเสธไม่ได้ว่า หนทางแห่งการเข้าสู่ตำแหน่งของ"พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง"อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มาอย่างไร และการทำงานในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ได้สนองใครบ้าง ดังนั้น ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น ในดีเอสไอ เราลองย้อนกลับไปดูผลงานของ"พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง"ว่าเขาทำเพื่อองค์กร ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ หรือ ทำเพื่อใคร

คดีต่างๆที่ดีเอสไอ ทำ ซึ่งอาจจะเป็นตัวเร่งการพิจารณาให้ "พ.ต.อ.ทวี" อาจถูกโอนย้ายคดีสำคัญคือคดีจัดซื้อเรือและรถดับเพลิงของ กทม.ซึ่งข้อตกลงสัญญาซื้อขายทำกันในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่าฯกทม. และผู้รับผิดชอบสำนวนคดีคือ "พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย" ซึ่งเป็น ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษในขณะนั้น ได้มีการเชิญ"นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน"เข้าให้ปากคำและรับทราบข้อกล่าวหาความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ซึ่งในครั้งนั้น นายอภิรักษ์ ให้ปากคำถึงเรื่องดังกล่าวว่าได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการจัดซื้อ อีกทั้งยังนำเรื่องหารือกับพรรค ปชป. แต่หลังจากนั้น นายอภิรักษ์ ให้ความเห็นว่าไม่มีอำนาจในการดำเนินการ และเป็นอำนาจของ"นายโภคิน พลกุล" อดีตรมว.มหาดไทย และเปิดเผยว่าจำเป็นต้องเร่งรัดให้เปิดแอล/ซี และแก้ไข แอล/ซีแก่บริษัท สไตเออร์ ทำให้ข้อตกลงสมัยนายสมัคร มีผลผูกพัน และเมื่อดีเอสไอ สรุปสำนวนว่านายอภิรักษ์ มีมูลความผิดส่งให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)และปปช.เองก็ชี้มูลความผิดกับนายอภิรักษ์ ด้วยมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียงโดยให้เหตุผลว่านายอภิรักษ์ทราบข้อเท็จจริงว่ามีข้อบกพร่อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่กลับอ้างว่า ไม่มีอำนาจในการดำเนินการ

คดีการขายสินทรัพย์โดยมิชอบของ กองทุนปฏิรูปสถาบันการเงิน (ปรส.) ก็เป็นอีกคดีหนึ่งที่เรื่องเกิดขึ้นในสมัยที่"นายชวน หลีกภัย" เป็นนายกรัฐมนตรี ปชป.เป็นรัฐบาล ซึ่งคดีนี้ดีเอสไอ สรุปสำนวนส่งฟ้อง "นายอมเรศ ศิลาอ่อน" อดีตประธานคณะกรรมการ ปรส., นายวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ อดีตเลขาธิการ ปรส.กับพวกรวม 7 ราย ในความผิดฐานร่วมกันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเพื่อช่วยเหลือให้บริษัท เลแมนบราเดอร์ โฮลดิ้ง อิงค์ ชนะการประมูลโดยไม่ต้องทำสัญญาประมูลสินเชื่อ จากนั้น ปรส.กลับไปทำสัญญาให้กับกองทุนรวมโกลบอลไทย พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งไม่ได้เป็นผู้เข้าประมูลตามกฎหมาย แต่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ได้รับการยกเว้นภาษี โดยกองทุนดังกล่าวเป็นของบริษัท เลแมนบราเดอร์ฯ ซึ่งเท่ากับว่าการทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อช่วยเหลือให้บริษัท เลแมนบราเดอร์ฯ ไม่ต้องมีภาระภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์

นอกจากนี้ดีเอสไอยังส่งสำนวนชี้มูลความผิด"นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายมนตรี เจนวิทย์การ รักษาการเลขาธิการ ปรส.ขณะนั้น รวมถึงคณะกรรมการ ปรส.ให้กับ ปปช.แม้คดีนี้บริษัทเลแมนบราเดอร์ ฯ ซึ่งเป็น 1 ในบริษัทที่ดีเอสไอ ส่งฟ้องฐานสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่รัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จะล้มละลายไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ดีเอสไอ ยังจัดประชุมลูกหนี้ของคดีนี้อยู่ ขึ้นอยู่กับว่า ปปช.จะชี้มูลและดำเนินการอย่างไรต่อไป

ส่วนคดีที่คนจากขั้วอำนาจเก่าโดยเฉพาะ"นายใหญ่และนายหญิง"มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างคดีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสแสท จำกัด (มหาชน)นั้นเห็นได้ชัดเจนว่าการทำสำนวนคดีนี้เป็นไปด้วยความรวดเร็วแม้การทำสำนวนจะอยู่ในช่วงที่ พ.ต.อ.ทวี เป็นรองอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งในครั้งนั้นดีเอสไอ มีความเห็นสั่งฟ้องทั้งนายใหญ่และนายหญิงพร้อมเครือญาติ แต่เมื่อสำนวนถึงมืออัยการ ก็มีการให้สั่งให้ดีเอสไอ กลับมาสอบปากคำพยานเพิ่มถึง 6 ปากและขอเอกสารจากต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งในส่วนของเอกสารดีเอสไอ ยอมรับว่าล่าช้าเพราะต้องขอให้สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นตัวประสานขอ แต่ในที่สุดคดีนี้อัยการก็สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดด้วยเหตุผลผู้ต้องหาไม่ได้มีพฤติการณ์แสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดสาระสำคัญการถือครองซื้อขายหุ้น และไม่มีภาระหน้าที่ที่จะต้องรายงานการซื้อขายหุ้นต่อ ก.ล.ต.เพราะมอบหมายให้กองทุนทำหน้าที่ให้ ซึ่งเมื่ออัยการมีความเห็นไม่ฟ้อง ดีเอสไอ สามารถมีความเห็นแย้งได้ แต่กลับเป็นว่าดีเอสไอ เองก็มีความเห็นพ้องไปกับอัยการโดยไม่ได้บอกกถึงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงความเห็นที่ชัดเจน

ยังไม่หมดเพียงแค่นี้ยังมีกรณีเงินสินบนอุโมงระบายน้ำของ กทม.ซึ่งสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งของญี่ปุ่นออกข่าวจ่ายสินบนให้"นายสมัคร สุนทรเวช" สมัยเป็นผู้ว่าฯกทม.ในโครงการก่อสร้างอุโมงท่อระบายน้ำ แต่คดีนี้ดูจะเงียบไปเพราะเป็นคดีที่ดีเอสไอ เพียงแค่ตั้งคณะทำงานขึ้นมาติดตามแต่ไม่ได้เป็นการสืบสวนสอบสวน ที่แม้จะเป็นคดีฮั้วประมูลแต่คดีเกิดขึ้นก่อน พ.ร.บ. การสอบสวนคดีพิเศษมีผลบังคับใช้ แต่จนถึงทุกวันนี้เรื่องก็เงียบหายไปพร้อมกับการหลุดพ้นตำแหน่งนายกฯของนายสมัคร

อีกคดีที่ดูเหมือเป็นคดีทั่วไปไม่น่าจะมีอะไร คือคดี"การจ่ายเงินแป๊ะเจี๊ยะ"ตามโรงเรียนต่างๆ เพราะก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่ามีการจ่ายเงินแป๊ะเจี๊ยะหรือเงินสนับสนุนให้กับทางโรงเรียนเกือบทุกโรงเรียนอยู่แล้วแต่การจงใจเจาะจงไปที่โรงเรียนโยธินบูรณะ อาจเป็นการตีกระทบชิ่ง"คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณอยุธยา" เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งหากจะดูในเบื้องลึกแล้ว ผอ.โรงเรียนโยธินบูรณะคนก่อนที่กำลังถูกร้องเรียนให้ตรวจสอบอยู่ในขณะนี้มีความใกล้ชิดกับคุณหญิงกษมานั้นเอง

ส่วนปี 2552 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง จะสามารถครองเก้าอี้ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ ต่อไปได้หรือไม่ คงต้องจับตาดูกันต่อไป

กาหัว"จงรัก จุฑานนท์"

พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.)คือ นายตำรวจบุคคลสำคัญที่ขออนุญาต กล่าวถึง เนื่องจากในห้วงเวลาที่ผ่านมา นายตำรวจท่านนี้ ได้สร้างผลงานอันโดดเด่น ในการรับใช้นักการเมืองอย่างออกนอกหน้า

ภาพที่เด่นชัด และมีหลักฐานยืนยัน ขอข้อกล่าวหารับใช้นักการเมือง คือในช่วง 193 วัน ของภารกิจกู้ชาติ ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ มีความพยายามที่จะสร้างพยานหลักฐาน เอาผิดพันธมิตรฯในทุกรูปแบบ โดยอ้างเพียงว่าทำเพราะมีคนร้องทุกข์กล่าวโทษ

โดยยกคดีความที่ นายแพทย์เหวง โตจิราการ และพวกแจ้งความกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวม 12 คน ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายพิภพ ธงไชย นายสุริยะใส กตะศิลา นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายสำราญ รอดเพชร นายศิริชัย ไม้งาม นายสาวิทย์ แก้วหวาน นายศรัณยู วงศ์กระจ่าง และนางมาลีรัตน์ แก้วก่า ในความผิดฐาน “ผู้ใดกระทำการอันเป็นความผิดอาญา กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ การกระทำนั้นมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลทให้กระทำการหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ยแรง หรือสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (2) โดยอ้างกรณีที่แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้นำกลุ่มคนบุกเข้าปิดสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกับนำชายฉกรรจ์ซึ่งมีอาวุธเข้ายึดหอบังคับการบิน การกระทำลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายการก่อการร้ายสากล

ทันที นายพลหน้าจอ “จงรัก จุฑานนท์” ได้พยายามรุกคืบ เพื่อขานรับนโยบายรัฐบาล ด้วยการเร่งรัดดำเนินคดีกลุ่มพันธมิตรฯ

ถัดจากวันที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ประกาศชัยชนะพร้อมถอนทัพออกจากทำเนียบรัฐบาล ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง เพียง 4 วัน คือ 8 ธ.ค. 51 “จงรัก จุฑานนท์” ได้นำนักประดาน้ำลงงมหาอาวุธสงครามในคลองผดุงกรุงเกษม และรอบทำเนียบฯ แต่ต้องหน้าแหกไม่พบอาวุธร้ายแรง หรืออาวุธสงครามตามที่คาดหวังไว้ แต่ยังไม่ยอมลดละที่จะสรรค์หาซึ่งพยานหลักฐาน ที่หลายฝ่ายมองเป็นการจัดฉากยัดเยียดหลักฐานเท็จให้กับพันธมิตรฯ และยังปากดีสั่งพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดแกนนำพันธมิตรฯ ฐานก่อการร้าย และขู่ว่าจะหาหลักฐาน 66 บริษัทห้างร้านที่สนับสนุนพันธมิตรฯ ยึดสนามบินส่งฟ้อง ปปง.ยึดทรัพย์

สำหรับข้อหาก่อการร้าย ถือเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก อีกทั้งการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในช่วงที่ผ่านมาก็น่าจะไม่เข้าองค์ประกอบความผิด เพราะกฎหมายให้พิจารณาถึงเรื่องเจตนาเป็นสำคัญ กับความพยายามที่จะปั้นแต่งตามบท ตามสคริปต์ที่สร้างขึ้นเพื่อจะทำลายล้างเผ่าพันธมิตรฯ “กลุ่มสมุนแม้ว” ยังดับเครื่องชนต่อไป ล่าสุด 10 ธ.ค. 51 นายแพทย์เหวง กับพวก “คปพร.” ได้ร้องต่อสตช. กล่าวโทษ 24 แกนนำ พธม.อีก ว่าทำผิด กม.การเดินอากาศจากการปิด 2 สนามบิน รวมทั้งผิด พ.ร.บ.กระจายเสียงฯ ฐานปลุก ปั่นล้มล้างระบอบปกครอง พร้อมร้องแรกแหกกระเชอให้ปิด “เอเอสทีวี”

และในฝ่ายของตำรวจที่บอกนักบอกหนาว่าเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทำงานเพื่อประชาชน แต่กลับเร่งสนองฝ่ายการเมืองเต็มที่ ในวันเดียวกัน (10 ธ.ค.51) สน.ดุสิต ได้ตรวจพบระเบิดเอ็ม 79 ระเบิดปิงปอง 6 ลูก อาวุธปืน .38 ปืน .45 จำนวน 4 กระบอก และเครื่องกระสุนอีกจำนวนมาก ประทัดยักษ์ซุกซ่อนอยู่ภายในสโมสรสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) นอกจากนี้ยังพบระเบิดแสวงเครื่องอีก 2 ลูก บริเวณข้างประตู 5 ภายในทำเนียบรัฐบาล โดยตำรวจบอกเพียงว่าต้องให้หน่วยตรวจพิสูจน์เก็บกู้ระเบิดของ สตช.ตรวจให้ละเอียด พร้อมยึดของกลางทั้งหมดไว้เป็นหลักฐานที่ต้องเร่งสร้างและสะสมไว้เอาผิดพันธมิตรฯ

ยังไม่พอ หมายถึงหลักฐานต่างๆ ที่สร้างขึ้นยังไม่พอเพียงจะเอาผิดพันธมิตรฯ ได้ ในวันเดียวกัน (10 ธ.ค.) ช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ตำรวจนางเลิ้งพบระเบิดปิงปองซุกไว้ในท่อท่อบนฟุตปาธบริเวณแยกพานิช ด้านข้างโรงเรียนราชวินิตมัธยมเกือบ 100 ลูก ตำรวจบอกจะประสานชุดสืบสวน ตรวจสอบและสืบหาตัวผู้ที่นำมาซุกซ่อนไว้เพื่อดำเนินคดีต่อไป และคาดผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ นำมาซุกซ่อนไว้

11 ธ.ค. ทนายความพันธมิตรฯ ได้เดินทางไปฟ้องต่อศาลอาญา เพื่อให้ตำรวจทำงานอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และซื่อสัตย์ต่อประชาชน โดยระบุการตั้งข้อหาก่อการร้าย ถือเป็นสิ่งที่รุนแรงตำรวจควรพิจารณาเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้โดยเร็ว

ในช่วงเวลาที่มีการสลายการชุมนุม 7 ตุลาคม ที่หน้ารัฐสภา “จงรัก จุฑานนท์” นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลบหน้าหลบตาปลีกวิเวกเงียบกริบไม่ออกมาจ้อให้ข่าวกับการที่พันธมิตรฯถูกตำรวจฆ่าประชาชน แต่เมื่อวันที่พันธมิตรฯถอนทัพสลายการชุมนุมในทุกจุด “จงรัก” ก็ได้เร่งบทบาทออกมาตีปี๊บโหมโรง กะจะเล่นงานพันธมิตรฯ ให้เต็มเหนี่ยว สร้างค่าให้ตัวเอง พูดดิสเครดิตพันธมิตรฯ เต็มที่ ซึ่งทำเพื่ออะไร ทำเพื่อตัวเอง หรือทำเพื่อใคร “จงรัก” เท่านั้นที่รู้ดีและให้คำตอบกับตัวเองได้

วีรกรรม"เสธ.แดง"ท่าจะบ๊องส์!

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก คือทหาร ผู้มีบทบาทสำคัญในการรับใช้ระบอบทักษิณ ในช่วงการต่อสู้กู้ชาติ ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยที่ ทหารผู้นี้ ได้ร่วมขบวนการในการก่อวีรกรรมไว้มากมาย

โดยหลักฐานจากการประมวลและลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มักปรากฎภาพชัดเจนว่า “เสธ.แดง” น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรง รวมทั้ง“เสธ.แดง”มักจะออกมาให้สัมภาษณ์ในเชิงข่มขู่ว่า หากพันธมิตรฯ ยังไม่ออกจากทำเนียบรัฐบาล ภายในวันที่ 19 พ.ย.51 จะเจออาวุธหนักและมีระเบิดอีกแน่นอน

ย้อนไล่เลียงเหตุการณ์ วันที่ 1 ก.ย.เกิดเหตุระเบิดป้อมตำรวจ บริเวณเชิงสะพานวิศสุกรรมนฤมาน ริมคลองผดุงกรุงเกษม แยกประชาเกษม ถ.กรุงเกษม “เสธ.แดง” ได้เดินทางมาตรวจดูที่เกิดเหตุระเบิดพร้อมกับนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

วันที่ 2 ก.ย. “เสธ.แดง” ได้ร่วมกับกลุ่ม นปช.นำม็อบมาปะทะกับพันธมิตรฯที่สะพานมัฆวาน จนทำให้มีผู้เสียชีวิต สุดท้ายก็นำไปสู่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อหวังสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ แต่ไม่สำเร็จ

วันที่ 16 ก.ย.51 มีประชาชนผู้หวังดี แจ้งว่าได้พบเห็น “เสธ.แดง” มีพิรุธป้วนเปี้ยนใกล้สำนักงาน “ASTV-ผู้จัดการ” ทำทีนั่งกินโรตีมะตะบะ อยู่ถนนพระอาทิตย์ เยื้องป้อมพระสุเมรุ เฝ้าสังเกตการณ์

วันที่ 7 ต.ค. “เสธ.แดง” โผล่ บช.น.โต้ “พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา” รอง ผบช.น.ระบุ นักรบพระเจ้าตากรักชาติ ไม่นิยมความรุนแรง รวมกลุ่มกันด้วยใจรักและพร้อมเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน โดย เสธ.แดง บอกว่า กลุ่มนักรบพระเจ้าตากที่ตนฝึกฝนกว่า 300 คน ไม่นิยมความรุนแรง เปรียบเสมือนผู้ช่วยเจ้าพนักงานที่มารวมตัวกันด้วยใจ ไม่คิดก่อเหตุรุนแรงและไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง

วันที่ 8 ต.ค.เวลา 22.00 น.มือมืดวางระเบิดป้อมตำรวจริมคลองผดุงฯ ตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ ซ้ำรอบสอง แต่ไม่รุนแรงเท่าคราวที่แล้ว ไม่มีคนเจ็บ-ตายเช่นเดิม ส่วนอีกจุดลอบวางบึ้มที่แยกวัดเบญฯ ในเวลาประมาณ 01.00 น.ทำพุ่มไม้ริมรั้งสนามม้านางเลิ้ง แยกวัดเบญจมบพิตร ถนนพระราม 5 มุ่งหน้าสะพานชมัยมรุเชฐ กระจุย

วันที่ 10 ต.ค.มือมืดวางวัตถุต้องสงสัย เป็นกระป๋องกาแฟสำเร็จรูป 2 กระป๋อง พันด้วยเทปกาว และสายไฟ ไปวางไว้ที่หน้าบ้านพิษณุโลก ตำรวจต้องใช้ปืนแรงดันน้ำยิงทำลาย ตร.สรุป น่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์

วันที่ 21 ต.ค.เวลา 01.00 น.เกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อบ้านพักประมุขศาลปกครอง “อักขราทร จุฬารัตน” ถูกมือมืดปาระเบิดใส่ โชคดีไม่มีคนเจ็บ

วันที่ 30 ต.ค.เวลา 00.30 น.มือมืดสร้างสถานการณ์ ลอบปาระเบิดใส่บ้าน “จรัญ ภักดีธนากุล” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ย่านคลองตัน ทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์-กระจกแตก

วันเดียวกัน“เสธ.แดง” ก็ยังไม่หยุดพ่นน้ำลาย ป่าวประกาศให้สัมภาษณ์ข่มขู่ ว่า จากนี้ไปจะมีคนเสียชีวิตทุกวัน ขณะที่ “พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ” ผู้ช่วย ผบ.ตร.ฐานะโฆษก สตช. บอกว่า เป็นคำพูดลอย ๆ ซึ่งหน่วยข่าวกรองต่างๆ ทั้งทหาร-ตำรวจ มีการประชุมกันอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องนำข่าวต่างๆ มาวิเคราะห์ การพูดของคนใดคนหนึ่ง อาจทำให้เกิดความตกใจ เจ้าหน้าที่ก็ต้องดูข้อเท็จจริง เตรียมการดำเนินการไปตามแผนการทำงาน

วันที่ 4 พ.ย.เวลา 02.00 น.สน.นางเลิ้ง ได้รับแจ้งเหตุระเบิดบริเวณสะพานอรทัย หลังจากสัตว์นรกยังไม่ยอมหยุดลอบกัดกลุ่มพันธมิตรฯ ยังซุ่มปาระเบิดใส่การ์ดพันธมิตรฯ และยังมีชายฉกรรจ์ประมาณ 4-5 คน ปีนข้ามรั้วแนวกั้นของตำรวจบริเวณด้านหลังกองบัญชาการตำรวจนครบาลเข้ามาเปิดฉากยิงปืนใส่กลุ่มพันธมิตรฯ จำนวนหลายนัด แต่ครั้งนี้โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิต

สำหรับคดีความ วันที่ 17 พ.ย.2551 ตัวแทนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดย “วีระ สมความคิด” ได้เข้าแจ้งตำรวจจับ “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล”ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209, 210, 211, 212, 213, 215, 221, 222 และ 309 ข้อหา อั้งยี่ ซ่องโจร คุกคามพันธมิตรฯ โดยระบุชัดว่า หลังการให้สัมภาษณ์ของ “เสธ.แดง” ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย.51 และทุกครั้ง มักเกิดระเบิด และการ์ดพันธมิตรฯถูกทำร้ายเสมอ

ท้ายสุด คนที่อยู่เบื้องหลังการก่อกวน สร้างความวุ่นวายในสถานการณ์บ้านเมือง ตำรวจก็เห็นภาพชัดเจนอยู่แล้วว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ ใครเป็นผู้ชี้นำให้กระทำ แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับนิ่งเฉย

พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.
พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน
พ.ต.อ.ลือชัย สุดยอด
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง
พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เสธ.แดง
กำลังโหลดความคิดเห็น