อัยการไต่สวนพยาน 4 ปาก คดี “วัฒนา อัศวเหม” ทุจริตออกโฉนดที่ดินคลองด่านทับที่คลองสาธารณะ จนท.กรมที่ดิน อ.สารภี เชียงใหม่ อดีตผู้ติดตามวัฒนา เบิกความรับ เคยช่วยงานจดทะเบียนโอนขายที่ดินคลองด่าน บริษัทในเครือวัฒนา ให้ ปาล์มบีช ก่อนจะมีการขายต่อให้กรมควบคุมมลพิษ
วันนี้ (13 ก.พ.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง องค์คณะผู้พิพากษา 9 คน ไต่สวนพยานโจทก์ครั้งที่สอง คดีดำ อม.2/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และ 157 ในการใช้อำนาจข่มขู่ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณประโยชน์ และที่เทขยะมูลฝอยซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม เพื่อนำไปก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
โดยวันนี้อัยการ นำพยานเข้าไต่สวน 4 ปาก ประกอบด้วย นายหัสนัย กองแก้ว อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมารีน จำกัด ในเครือสหพัฒนพิบูล ผู้ประกอบกิจการนากุ้ง ซึ่งขายที่ดินของบริษัทใน ต.คลองด่าน จำนวน 900 ไร่ ให้บริษัท ปาล์ม บีช ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งต่อมามีการนำที่ดินเสนอขายให้กับกรมควบคุมมลพิษ เพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย, นายศิริ เลิศธรรมเทวี ผอ.สำนักนิติธรรม สำนักเลขาธิการ ครม.และ นายธีรศักดิ์ ลิ้มประสิทธิศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการช่างรังวัดเอกชน (เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน 8) เบิกความเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งอำนาจหน้าที่การแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่กรมที่ดินว่าอยู่ภายใต้กำกับดูแลของนายวัฒนา เมื่อดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย หรือไม่ และ นายสุรพงษ์ ชัยนิตย์ เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเคยเป็นผู้ติดตาม นายวัฒนา จำเลย ขณะที่ดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย
ทั้งนี้ ในการไต่สวน นายหัสนัย กองแก้ว อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมารีน จำกัด ผู้ประกอบกิจการนากุ้ง เบิกความว่า เมื่อปี 2520 บริษัทเคยไปขอให้กรมที่ดิน ออกโฉนดให้กับที่ดินของบริษัทจำนวน 900 ไร่ ซึ่งเดิมเป็นเพียงที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.แต่ก็ถูกปฏิเสธ เนื่องจากกรมที่ดินระบุว่า พื้นที่ ต.คลองด่าน เป็นที่หวงห้ามเทขยะมูลฝอย ส่วนที่ได้มีการนำที่ดินดังกล่าวขายให้กับ บจก.ปาล์มบีช นั้น เนื่องจากบริษัทเลิกกิจการนากุ้ง โดยขณะนั้น บจก.ปาล์ม บีช จะนำไปสร้างสนามกอล์ฟ แต่ต่อมาทราบว่ามีการนำที่ไปขายให้กับกรมควบคุมมลพิษ
ส่วน นายศิริ เลิศธรรมเทวี ผอ.สำนักนิติธรรม สำนักเลขาธิการ ครม.และ นายธีรศักดิ์ ลิ้มประสิทธิศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการช่างรังวัดเอกชน (เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน 8) เบิกความถึงอำนาจตำแหน่งหน้าที่ รมว.และ รมช.ว่า เป็นไปตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 และ ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 218 ลงวันที่ 29 กันยายน 2515 ซึ่งเป็นกฎหมายในการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนกรณีของ นายวัฒนา จำเลยนั้น ขณะเกิดเหตุปี 2536 จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการงบประมาณ กรมที่ดิน ด้วยหรือไม่ พยานไม่ทราบ ส่วนการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชกรมที่ดินนั้น ถ้าเป็นระดับ ซี 10 ขึ้นไป คือตำแหน่งอธิบดีกรม นั้น จะเป็นอำนาจของรัฐมนตรี ส่วนตั้งแต่ระดับ ซี 10 ลงมาจะเป็นอำนาจของอธิบดีกรมที่ดิน และถ้าในต่างจังหวัดจะมีผู้ว่าราชการจังหวัดกลั่นกรองอีกชั้นหนึ่ง นอกจากนี้พยานยังเบิกความด้วยว่า แม้กฎหมายจะให้อำนาจไว้ชัดเจนว่ารัฐมนตรีช่วยว่าการแต่ละคนจะไม่เข้าไปแทรกแซงหน้าที่กัน แต่ในทางปฏิบัติเชื่อว่าจะไม่เป็นไปตามหลักการ เหมือนกรณีการแต่งตั้งโยกย้ายที่บางครั้งก็ไม่เป็นไปตามหลักการที่เหมาะสม
ด้าน นายสุรพงษ์ ชัยนิตย์ เจ้าหน้าที่กรมที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอสารภี ซึ่งเคยเป็นผู้ติดตามนายวัฒนา จำเลย ขณะที่ดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย เบิกความว่า ที่ได้ไปเป็นผู้ติดตามจำเลย เนื่องจากอธิบดีกรมที่ดินเป็นผู้สั่งการ แต่พยานไม่เคยทราบเหตุผล ส่วนการมอบหมายให้เป็นผู้ติดตามนั้นแม้ว่าจำเลยจะไม่ได้มีหน้าที่กำกับดูแลกรมที่ดิน แต่จำเลยก็กำกับดูแลการเคหะแห่งชาติ ที่เกี่ยวข้องกับที่ดินเช่นกัน โดยพยานยัง เบิกความยอมรับด้วยว่า การไปเป็นผู้ติดตามนั้นเคยได้ช่วยเหลืองานส่วนตัวของจำเลยด้วยในการไปจดทะเบียนโอนที่ดินต.คลองด่านของบริษัทเหมืองแร่ ลานทองจำกัด ที่ประกอบกิจการนากุ้ง และบริษัท เอ็มพีปิโตรเลียม จำกัด ที่เป็นบริษัทในเครือของจำเลย ที่ขายให้กับ บจก.ปาล์มบีช ฯ ด้วย แต่พยานก็ยังปฏิเสธว่า บจก.ปาล์มบีช ไม่มีชื่อของจำเลยเป็นผู้ถือหุ้น และการจัดการรวบรวมที่ดินขายให้ก็มีนายสมพร อัศวเหม น้องชายจำเลยเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งนี้ พยานยังเบิกความตอบด้วยว่า ขณะที่ขายที่ดินให้ บจก.ปาล์มบีช ไม่ทราบว่าผู้มีอำนาจในบริษัทนั้นจะเป็นนักการเมืองตระกูลปิ่นขยันหรือไม่
