วานนี้(8 พ.ค.)เวลา 09.30 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาอาวุโส เจ้าของสำนวนคดีดำ อม.2/2550 พร้อมองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานจำเลย คดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย และประธานพรรคเพื่อแผ่นดินเป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และ 157 ในการใช้อำนาจข่มขู่ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณประโยชน์ และที่เทขยะมูลฝอยซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษเพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
โดยศาลนัดไต่สวนพยานจำเลยปากสุดท้าย ซึ่งนายวัฒนา จำเลย ขึ้นเบิกความ โดยใช้คำว่าใช่หรือไม่ใช่และขยายความประกอบเป็นบางคำถามต่อจากนัดก่อนสรุป ได้ว่า ตนเองถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สรุปสำนวนชี้มูลความผิดอย่างไม่ได้ให้ความเป็นธรรม และเลือกปฏิบัติด้วยการกล่าวโทษดำเนินคดีกับตัวพยานเพียงคนเดียว โดยไม่มีการดำเนินการกับ บริษัท ปาล์ม บีช ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทซึ่งเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อ และขอให้มีการออกโฉนดที่ดิน ส่วนเจ้าหนักงานที่ดินเกี่ยวข้องกับการออกโฉนดที่ดินที่มีปัญหาก็ไม่ได้ถูกดำเนินการเนื่องจากใดๆ เนื่องจากป.ป.ช.สรุปความเห็นว่าคดีขาดอายุความ
นายวัฒนา เบิกความต่อว่า นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังสรุปสำนวนชี้มูความผิดตนเอง โดยรับฟังพยานที่พนักงานสอบสวนกองปราบปราม สอบสวนไว้ในคดีอื่นและให้การไว้ก่อนที่จะมีการสอบสวนดำเนินคดีกับตน ซึ่งถือว่าไม่ได้เป็นการดำเนินการ ตามหลักนิติธรรม นอกจากนี้การชี้มูลความผิดตนเรื่องใช้อำนาจในตำแหน่ง หน้าที่โดยทุจริต ตาม ประมวลกฎหมายอาญา ม.148 ถือว่าไม่ถูกต้องเพราะขณะที่ตนดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ก็ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลกรมที่ดิน จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดทางกฎหมาย
“การที่ ป.ป.ช. ชี้มูลว่า ผมผิด ตาม ม.148 ถือว่าไม่ถูกต้อง ผมต้องพบ วิบากกรรมกับคดีคลองด่านมานาน 15 ปีแล้ว ผมไม่ได้ท้าทายศาล ความผิดตาม ม.148 มีโทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต แต่หากผมผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริง ให้เอาผมประหารชีวิตเลยดีกว่า” นายวัฒนา กล่าว
นอกจากนี้ นายวัฒนา ยังเบิกความย้ำด้วยว่าที่ต้องตกเป็นจำเลยในคดีนี้เพราะถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เนื่องจากในช่วงปี 2546 ตนเองซึ่งเคยเป็นอดีตประธานที่ปรึกษาพรรคราษฎรไม่ยอมที่จะควบรวมกับพรรคไทยรักไทย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับระบอบเผด็จการรัฐสภา ซึ่งการไม่ยินยอมทำตาม พ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนั้นนอกจากจะถูกกลั่นแกล้งให้ต้องตกเป็นจำเลยในคดีนี้แล้ว ยังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งสื่อมวลชนวิจารณ์กันว่าเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำเนินคดีบุกรุกป่าสงวน ใน อ.กระปง จ.พังงา อีกหนึ่งคดีด้วย
ทั้งนี้ หลังนายวัฒนาเบิกความเสร็จสิ้น ศาลแถลงให้คู่ความยื่นคำแถลงปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษร ภายในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ โดยหากไม่ยื่นมาภายในกำหนดถือว่าไม่ติดใจที่จะแถลงปิดคดี อย่างไรก็ดีเนื่องจากคดี มีพยานหลักฐานจำนวนมาก โดยมีพยานฝ่ายโจทก์ 40 ปาก พยานจำเลย 14 ปาก และพยานที่ศาลเรียกมาอีก 9 ปาก มีพยานเอกสารอีก 28 แฟ้มจำนวนหลายพันหน้า และพยานวัตถุอีกหลายรายการ ทำให้ศาลอาจพิจารณาและพิพากษาคดีไม่ทันภายในระยะเวลา 7 วัน หลังคู่ความยื่นแถลงปิดคดีตามกฎหมายกำหนด จึงกำหนดให้นัดอ่านคำพิพากษาคดีในวันที่ 9 ก.ค.นี้ เวลา 14.00 น.
ภายหลัง นายวัฒนา กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่าตนรู้สึกสบายในที่ได้พิสูจน์ความจริง และมั่นใจในพยานหลักฐานที่ได้นำมาต่อสู้ถือในศาล ซึ่งแตกต่างจากในชั้น ป.ป.ช.ที่เหมือนเป็นการกล่าวหาข้างเดียว ส่วนคำแถลงปิดคดีของตนคงต้องชี้ให้ศาลเห็นในทุกประเด็นที่ได้ต่อสู้มา ซึ่งตุลาการทุกท่านเป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม จึงมั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากคำพิพากษา
โดยศาลนัดไต่สวนพยานจำเลยปากสุดท้าย ซึ่งนายวัฒนา จำเลย ขึ้นเบิกความ โดยใช้คำว่าใช่หรือไม่ใช่และขยายความประกอบเป็นบางคำถามต่อจากนัดก่อนสรุป ได้ว่า ตนเองถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สรุปสำนวนชี้มูลความผิดอย่างไม่ได้ให้ความเป็นธรรม และเลือกปฏิบัติด้วยการกล่าวโทษดำเนินคดีกับตัวพยานเพียงคนเดียว โดยไม่มีการดำเนินการกับ บริษัท ปาล์ม บีช ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทซึ่งเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อ และขอให้มีการออกโฉนดที่ดิน ส่วนเจ้าหนักงานที่ดินเกี่ยวข้องกับการออกโฉนดที่ดินที่มีปัญหาก็ไม่ได้ถูกดำเนินการเนื่องจากใดๆ เนื่องจากป.ป.ช.สรุปความเห็นว่าคดีขาดอายุความ
นายวัฒนา เบิกความต่อว่า นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังสรุปสำนวนชี้มูความผิดตนเอง โดยรับฟังพยานที่พนักงานสอบสวนกองปราบปราม สอบสวนไว้ในคดีอื่นและให้การไว้ก่อนที่จะมีการสอบสวนดำเนินคดีกับตน ซึ่งถือว่าไม่ได้เป็นการดำเนินการ ตามหลักนิติธรรม นอกจากนี้การชี้มูลความผิดตนเรื่องใช้อำนาจในตำแหน่ง หน้าที่โดยทุจริต ตาม ประมวลกฎหมายอาญา ม.148 ถือว่าไม่ถูกต้องเพราะขณะที่ตนดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ก็ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลกรมที่ดิน จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดทางกฎหมาย
“การที่ ป.ป.ช. ชี้มูลว่า ผมผิด ตาม ม.148 ถือว่าไม่ถูกต้อง ผมต้องพบ วิบากกรรมกับคดีคลองด่านมานาน 15 ปีแล้ว ผมไม่ได้ท้าทายศาล ความผิดตาม ม.148 มีโทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต แต่หากผมผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริง ให้เอาผมประหารชีวิตเลยดีกว่า” นายวัฒนา กล่าว
นอกจากนี้ นายวัฒนา ยังเบิกความย้ำด้วยว่าที่ต้องตกเป็นจำเลยในคดีนี้เพราะถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เนื่องจากในช่วงปี 2546 ตนเองซึ่งเคยเป็นอดีตประธานที่ปรึกษาพรรคราษฎรไม่ยอมที่จะควบรวมกับพรรคไทยรักไทย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับระบอบเผด็จการรัฐสภา ซึ่งการไม่ยินยอมทำตาม พ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนั้นนอกจากจะถูกกลั่นแกล้งให้ต้องตกเป็นจำเลยในคดีนี้แล้ว ยังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งสื่อมวลชนวิจารณ์กันว่าเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำเนินคดีบุกรุกป่าสงวน ใน อ.กระปง จ.พังงา อีกหนึ่งคดีด้วย
ทั้งนี้ หลังนายวัฒนาเบิกความเสร็จสิ้น ศาลแถลงให้คู่ความยื่นคำแถลงปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษร ภายในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ โดยหากไม่ยื่นมาภายในกำหนดถือว่าไม่ติดใจที่จะแถลงปิดคดี อย่างไรก็ดีเนื่องจากคดี มีพยานหลักฐานจำนวนมาก โดยมีพยานฝ่ายโจทก์ 40 ปาก พยานจำเลย 14 ปาก และพยานที่ศาลเรียกมาอีก 9 ปาก มีพยานเอกสารอีก 28 แฟ้มจำนวนหลายพันหน้า และพยานวัตถุอีกหลายรายการ ทำให้ศาลอาจพิจารณาและพิพากษาคดีไม่ทันภายในระยะเวลา 7 วัน หลังคู่ความยื่นแถลงปิดคดีตามกฎหมายกำหนด จึงกำหนดให้นัดอ่านคำพิพากษาคดีในวันที่ 9 ก.ค.นี้ เวลา 14.00 น.
ภายหลัง นายวัฒนา กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่าตนรู้สึกสบายในที่ได้พิสูจน์ความจริง และมั่นใจในพยานหลักฐานที่ได้นำมาต่อสู้ถือในศาล ซึ่งแตกต่างจากในชั้น ป.ป.ช.ที่เหมือนเป็นการกล่าวหาข้างเดียว ส่วนคำแถลงปิดคดีของตนคงต้องชี้ให้ศาลเห็นในทุกประเด็นที่ได้ต่อสู้มา ซึ่งตุลาการทุกท่านเป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม จึงมั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากคำพิพากษา