“เสรีพิศุทธ์” ไม่เชื่อเหยื่อแก๊ง ตชด.จะมีมาก 40-50 ราย เตือนใครฉวยโอกาสกุเรื่อง กล่าวหาคนอื่น จะต้องถูกดำเนินคดีฐานแจ้งความเท็จ พร้อมสั่งจเรตำรวจ-ผบช.น.-ผบช.1-9 “ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง” ทุกกรณี
วันนี้ (5 ก.พ.) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมติดตามผลปฏิบัติราชการของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ว่า มาตรวจสอบติดตามผลการทำงานของตำรวจนครบาลภายหลังมอบนโยบายปฏิบัติตามแผนพัฒนาข้าราชการตำรวจว่าเป็นไปตามแผนหรือไม่ ซึ่งเท่าที่ฟังจากบรรยายสรุปพบว่ามีปัญหาที่ต้องแก้ไขอยู่หลายด้าน แต่ได้ให้แนวทางแก้ไขไว้แล้วจากนี้จะประเมินการทำงานอีกครั้ง
ผบ.ตร.กล่าวว่า แผนพัฒนาตำรวจแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเป็นการพัฒนาข้าราชการตำรวจและครอบครัวด้านร่างกายความคิดจิตใจให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน จัดให้มีการออกกำลังกายเพื่อมีสุขภาพแข็งแรง จัดให้มีสวัสดิการที่อยู่อาศัย ขยายอาคารสถานที่ทำงานตำรวจภูธร 1-9 ส่วนที่สองการพัฒนาองค์กรและหน่วยงานจัดให้มีการพัฒนาความรู้ข้าราชการตำรวจด้านการศึกษาต่อไปคนที่จบปริญญาตรีก็ขยับขยายขึ้นแทนตำรวจที่เกษียณอายุภายภาคหน้าตำรวจทุกคนมีดีกรีปริญญา และ 3.การพัฒนาระบบงานจัดให้มีโครงการต่างๆ 7 ด้าน องานบริหาร งานจเร ความมั่นคง กิจการพิเศษ งานป้องกันปราบราม สืบสวน สอบสวน
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวถึงกรณีผู้เสียหายคดียาเสพติดเข้าร้องเรียนที่ สน.วังทองหลาง ว่า นายตำรวจยศ พล.ต.ต.3 นาย ร่วมลงชื่อในบันทึกการจับกุมว่า ยังไม่ได้รับรายงานข้อเท็จจริงเท่าที่สอบถามผู้รับผิดชอบระบุมีผู้อ้างว่า ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของตำรวจในหลายท้องที่มาแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจต่างๆ ทั้งในนครบาล และภูธร จำนวน 40-50 ราย เมื่อมานั่งคิดดูมันจะเป็นไปได้ หรือที่ตำรวจนอกแถวเหล่านี้จะทำอะไรนักหนาเป็นไปได้ขนาดนั้นหรือ และพบว่าผู้ที่ร้องเรียนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งสิ้น เมื่อถูกดำเนินคดีไปแล้วอาจจะเกิดความคิดขึ้นมาจะช่วยตัวเองให้รอดพ้นอย่างไรจึงมาแจ้งความทั้งที่ข้อเท็จจริงอาจไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ โดยส่วนตัวแล้วยังไม่เชื่ออะไรใครทั้งนั้นตอนนี้สั่งการให้ผู้รับผิดชอบรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจนก่อนผลออกมาอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น
“ผมขอเตือนพี่น้องประชาชนไว้แล้วนะว่าถ้าทำอะไรที่เป็นความผิดก็ต้องรับผิดอย่ามากุเรื่องกล่าวหาว่าคนอื่นไปข่มขู่ ทำร้ายร่างกายยัดเยียดข้อหาให้ต่างๆ นานา ตอนนี้ไม่ว่าใครมาแจ้งความก็ตามตำรวจไม่ได้เชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์จะมีคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า เป็นไปตามที่ร้องเรียนหรือไม่ ผมเรียนตรงๆ ว่า ถ้าไม่เป็นความจริงตามที่ร้องเรียน ตรวจสอบแล้วไม่มีพยานหลักฐาน ท่านทั้งหลายที่มาร้องเรียนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบโทษฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน โทษฐานหมิ่นประมาทและกระทำการให้ผู้อื่นต้องถูกลงโทษทางวินัย ฉะนั้นขอเตือนอีกครั้งว่าอย่าฉวยโอกาสนี้ขอให้เป็นเรื่องจริงเราพอรับได้แต่ถ้าเป็นไม่จริง พนักงานสอบสวนคงไม่ยอมแน่ เพราะตำรวจต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ใช่ทำมา 5 คดีแล้วมารุมใส่แจ้งความเป็น 20 คดีมันไม่ใช่คงต้องตรวจสอบกัน” ผบ.ตร.กล่าว
ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า เหตุการณ์แบบนี้มันไม่ปกติแล้ว มีการแจ้งความกันมากมายขนาดนี้มันเกินไปรู้สึกจะมาก อย่างไรก็ตามได้กำชับ พล.ต.อ.ประทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.ให้ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางคดีให้ชัดเจนว่า ตำรวจมีการทำผิดวินัยอย่างไรบ้าง หากมีการมาร้องทุกข์เป็นเท็จแจ้งความเท็จเอาผิดกับเจ้าพนักงาน เราก็จะดำเนินคดีกับบุคคลนั้นตามกฎหมายทันทีฉะนั้นควรเอาความจริงมาพูดกันอย่าฉวยโอกาส
ต่อข้อถามว่า การจับกุมคดียาเสพติดจากนี้ไปต้องมีมาตรการที่รัดกุมมากกว่านี้หรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า มาตรการระเบียบกฎหมายมีอยู่แล้วทุกอย่างชัดเจนเพียงแต่ว่า ตัวบุคคลที่ทำหน้าที่ทำเพื่อประเทศชาติ ส่วนรวมมากน้อยแค่ไหน แต่หากทำเพื่อตัวเองแสวงหาผลประโยชน์คนเหล่านี้ไม่สนใจหรอกว่าจะละเมิดกฎหมายหรือไม่