xs
xsm
sm
md
lg

ก่อนวันชี้ชะตา

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ทำอะไรลืมๆ กันไปไม่นาน เวลาของเดือนสิงหาคมก็ล่วงผ่านมาจนจะถึงวันสำคัญอีกบทหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย

วันพรุ่งนี้แล้ว ที่คดีจำนำข้าวที่ยืดเยื้อยาวนาน ต่อสู้คดีกันมาร่วมสองปี จะถึงบทสุดท้าย ให้เราได้รู้ว่าจะออกหัวออกก้อยอย่างไร โดยคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

จะเป็นอีกครั้งหรือไม่ ที่อดีตนายกรัฐมนตรี จะต้องคำพิพากษาถึงที่สุดจากศาลให้จำคุก และจะเป็นครั้งแรกหรือไม่ ที่เราได้เห็นคนระดับนั้นเดินหน้าเข้าสู่เรือนจำ เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทย

หรือจะหลบลี้หนีหายไปในสายลมดังเช่นอดีตนายกฯ คนแรกที่ต้องชะตากรรมนี้ ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของเธอเอง

ในวันพรุ่งนี้ ทุกสายตาและความสนใจคงจะไปโฟกัสรวมกัน ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถนนแจ้งวัฒนะ อันเป็นที่ตั้งของศาลฎีกา ซึ่งจะใช้เป็นที่อ่านคำพิพากษาฉบับประวัติศาสตร์ ตั้งแต่เวลาเช้าตรู่ ซึ่งศาลจะได้เริ่มอ่านคำพิพากษาในคดีแรก ที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ถูกฟ้องในคดีทุจริตการระบายข้าวแบบจีทูจี

จากนั้นก็จะตามต่อด้วยคดีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในข้อหาปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ในฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และความผิดลักษณะเดียวกันในกฎหมายของ ป.ป.ช. ที่มีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบปี

จากการข่าวของภาครัฐ ประเมินว่าจะมีผู้มาให้กำลังใจอดีตนายกฯ ราวๆ 3,000 คน โดยก่อนหน้านี้ มีความพยายามจากทางบ้านเมืองในการเข้าไปตัดไฟแต่ต้นลม สกัดคนตั้งแต่ต้นทาง ทั้งที่มีการนำตัวผู้นำชุมชนกลุ่มเป้าหมายมาลงชื่อในบันทึกความเข้าใจ การตรวจค้นแบบสกรีนการเดินทางเป็นหมู่คณะของกลุ่มเป้าหมายที่อาจจะมาให้กำลังใจได้ ซึ่งเริ่มต้นกันไปแล้วตั้งแต่ต้นสัปดาห์

และล่าสุด ทางตำรวจขอความร่วมมือประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องหรือมีกิจธุระที่จะต้องใช้ถนนแจ้งวัฒนะซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารศูนย์ราชการว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเพิ่งผ่านไปเส้นทางดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ เพราะจะมีการตั้งด่านความมั่นคงเพื่อตรวจสอบรถยนต์ที่จะผ่านหรือเข้าไปในพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลให้ถนนแจ้งวัฒนะซึ่งปกติเป็นเส้นทางที่รถติดหนักอยู่แล้ว เกิดปัญหาจราจรและความวุ่นวายเข้าไปใหญ่

หากกล่าวกันตรง ๆ แล้วมาตรการต่าง ๆ ที่ฝ่าย “รัฐ” เตรียมแผนไว้รองรับวันอ่านคำพิพากษาครั้งประวัติศาสตร์นี้ถือว่าเป็นการ “เล่นใหญ่” อยู่มากทีเดียว

ดังนั้นการที่จะใช้มวลชนเข้ากดดันศาลหรือก่อความวุ่นวายนั้นน่าจะยาก หรือทำไม่ได้ อย่างมากก็คือการมาให้กำลังใจหรือรอดูชะตากรรมของ “แม่ปู” ในวันพิพากษา ว่าขาออกจากศาลนั้น จะออกไปแบบอิสระชนผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ความผิด หรือแบบนักโทษที่รอส่งเข้าเรือนจำในเย็นวันนั้นเลย

รวมถึงการออกมาแบบกึ่ง ๆในหน้าที่ว่า ศาลพิพากษาให้มีความผิดแต่ปรานีให้รอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษไว้ ถ้าแบบนี้ ก็กลับบ้านได้สบายใจหน่อย แต่ก็ต้องหมดอนาคตในทางการเมืองไปตลอดชีวิตเช่นกัน โดยผลของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

หรือจะได้กลับบ้านแบบมีชนักติดหลัง คือถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด ต้องโทษจำคุกแบบไม่รอการลงโทษให้ แต่ได้รับสิทธิการประกันตัวมาสู้คดียื่นอุทธรณ์ เพราะในคดีนี้ จำเลยจะได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญใหม่ ที่สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อองค์คณะที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาได้ใน 30 วัน โดยไม่จำเป็นต้องติดเงื่อนไขว่ามีหลักฐานใหม่เหมือนในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้า ดังนั้นถ้าจำเลยแสดงความประสงค์ที่จะอุทธรณ์คำพิพากษา ก็สามารถขอใช้สิทธิประกันตัวได้เลยในวันเดียวกัน

นี่คือ “หน้าเหรียญทั้ง 4” ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงบ่ายหรือช่วงเย็นวันพรุ่งนี้ ทางใดทางหนึ่ง

และนอกจากนั้น ผลจากคดีนี้ ก็จะส่งผลต่อไปถึงคดีละเมิดที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นมูลเหตุให้มีการยึดทรัพย์ ซึ่งเป็นคดีที่ต่อสู้กันอยู่ในศาลปกครองด้วย

โดยในคดีละเมิดที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่นั้น กฎหมายระบุไว้ว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ ถ้าได้กระทำการนั้นไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ก็จะต้องชดใช้ค่าเสียหายต่อรัฐ

“ความจงใจ” เป็นมาตรฐานในการรับผิดในคดีแพ่ง ซึ่งมีมาตรฐานอ่อนกว่า “เจตนา” ในทางอาญา ดังนั้นถ้าในคดีอาญา มีคำพิพากษาว่า จำเลยกระทำโดยมีเจตนาให้เกิดความเสียหายแก่รัฐแล้ว ก็ย่อมจะผูกเป็นผลต่อไปในการพิจารณาคดีแพ่งหรือคดีละเมิดทางปกครองด้วย

แต่ถ้าคำพิพากษาในส่วนอาญานั้น ออกมาว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนา หรือไม่มีความผิดในอันที่จะไม่ยับยั้งความเสียหายต่อรัฐ อันนี้ก็จะส่งผลต่อคดีแพ่งให้การยึดทรัพย์เพื่อบังคับคดีในทางปกครองนั้นมีมูลน้อยลงไป

ดังนั้น คำพิพากษาในคดีอาญาในวันพรุ่งนี้จึงมีนัยสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งที่สำคัญยิ่งกว่าว่า อดีตนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศจะได้รับโทษแค่ไหนเพียงไร ต้องส่งตัวเข้าเรือนจำหรือไม่ นั่นคือคำถามว่า การดำเนินนโยบายจำนำข้าวนั้นมีความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐหรือไม่ และถ้าเป็นความผิด เป็นความผิดอย่างไร ด้วยเหตุผลอะไร โดยมีพยานหลักฐานอย่างไรเป็นเครื่องสนับสนุนเหตุผลนั้น

นี่ล่ะคือส่วนที่เป็นสาระสำคัญที่สุดของการอ่านคำพิพากษาในวันพรุ่งนี้ .
กำลังโหลดความคิดเห็น