รายการ “ข่าวลึก ปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม ผู้จัดการ 360 วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 ตอน ปมลับ! ยิ่งลักษณ์-แก๊งจีทูจี ซ่อนเงื่อนโยงทุจริตจำนำข้าว?
สถานการณ์ร้อนๆ กับคดีประวัติศาสตร์ที่ไม่ว่าคำพิพากษาจะออกมาด้านใด ก็จะส่งผลกระทบต่ออนาคตการเมือง และความมั่นคงของประเทศ คือสองคดีสำคัญที่เป็นผลมาจาก โครงการรับจำนำข้าว รับซื้อข้าวทุกเมล็ดจากชาวนาเกวียนละ หนึ่งหมื่นห้าพันบาท ในสมัยรัฐบาลที่มีนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
นโยบายจำนำข้าวเป็นกลยุทธ์หาเสียงของพรรคเพื่อไทย ที่ทำให้ชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 อย่างขาดลอยต่อพรรคคู่แข่ง ซึ่งมีการเอ่ยอ้างว่าเป็นนโยบายจำนำข้าวเป็นกลไกช่วยเหลือชาวนา ช่วยให้ชาวนาขายข้าวได้ราคาสูง ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ชาวนาดีขึ้น
นโยบายนี้ถูกใจชาวนาและเกษตรกรที่มีจำนวน3-4 ล้านคนในประเทศ ส่งให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ ทั้งที่ลงสนามการเมืองเดินหาเสียงเพียง49 วันเท่านั้น
แต่ผลอีกด้านหนึ่งของนโยบายจำนำข้าว กำลังพ่นพิษทำให้ยิ่งลักษณ์กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่มีโอกาสประสบวิบากกรรม เนื่องจากถูกดำเนินคดีที่เกิดจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีมูลเหตุจากนโยบายจำนำข้าว ที่สร้างความเสียหายให้กับเงินแผ่นดินจำนวนหลายแสนล้านบาท เพราะยิ่งลักษณ์ละเว้นการทำหน้าที่ ปล่อยให้มีการทุจริตคอรัปชั่นอย่างมโหฬารจนกลายเป็นคดีอีกคดีหนึ่งกับรัฐมนตรี อีกสองคน
คดีทั้งสองที่อยู่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลได้ดำเนินการพิจารณาคดีควบคู่กันมาตลอดเป็นเวลาเกือบสองปี จนถึงวันปิดการพิจารณาคดี ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯได้นัดอ่านคำพิพากษาพร้อมกันในวันศุกร์นี้ 25ส.ค.
คดีแรกที่จะเริ่มอ่านก่อน คือคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี ที่มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ คนสนิท เจ๊แดง -เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย และนายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ รวมถึงอดีตข้าราชการระดับสูง กระทรวงพาณิชย์และกลุ่มผู้บริหารบริษัทเอกชนที่เป็นคู่สัญญาขายข้าวจีทูจีปลอม อีก20กว่าคนเป็นจำเลย
ตามกำหนดเวลานัด หลังจากที่องค์คณะฯ อ่านคำพิพากษาคดีจีทูจี เสร็จ ก็จะตามด้วยการอ่านคำพิพากษาคดีจำนำข้าวที่มียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลยคนเดียว
ต้องเข้าใจว่า ตามที่กล่าวมาคือกรณีที่กระบวนการอ่านคำพิพากษาดำเนินไปตามปกติ ไม่มีเหตุให้ องค์คณะต้องเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไป จากเหตุจำเลยมาไม่ครบ ทำให้ต้องเลื่อนการอ่านคำพิพากษาคดีออกไป ตามกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
คาดว่า ในส่วนของคดียิ่งลักษณ์ ไม่น่ามีปัญหา เพราะมีจำเลยคนเดียวคือ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งยืนยันว่าจะมาฟังคำพิพากษาตามนัดแน่ แต่คดีจีทูจี ที่มีจำเลยยี่สิบกว่าคน ต้องลุ้นจะมากันครบหรือไม่ และหากมาไม่ครบ องค์คณะจะว่าอย่างไร เพราะมีทางออกให้เลือกหลายสูตร ที่ต้องรอดูกันในวันศุกร์นี้ ว่าศาลจะเลือกทางไหน
สำหรับประเด็นที่หลายคนมีความสงสัยว่า เพราะเหตุใด คดีจีทูจี กับคดียิ่งลักษณ์ ที่มีการไต่สวนพยานนัดสุดท้าย ห่างกันสองสัปดาห์ คือคดีจีทูจี ไต่สวนนัดสุดท้ายวันที่ 5 ก.ค. แต่คดียิ่งลักษณ์ วันที่ 21ก.ค. แล้วทำไม จึงมีการนัดฟังคำพิพากษาในวันเดียวกัน ในวันที่25ส.ค.
สาเหตุที่ศาลนัดฟังคำตัดสินทั้งสองคดีในวันศุกร์นี้พร้อมกัน วิเคราะห์ได้ว่า เนื่องจากทั้งสองสำนวนคือคดีจีทูจีและคดียิ่งลักษณ์ ที่ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและอัยการยื่นฟ้อง มีความเชื่อมโยงกันทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย
เพราะมูลเหตุความผิดพบว่า ข้าวในการดูแลของกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ นำไปทำธุรกรรมระบายข้าวจากสต๊อกของรัฐขายให้กับพ่อค้า แท้จริงแล้วมีบริษัทรับซื้อข้าวเป็นบริษัทส่งออกข้าวในเครือข่ายของเสี่ยเปี๋ยง หรือ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ที่แนบแน่นกับทักษิณ ชินวัตร
เช่น บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด บริษัท สิราลัย จำกัด แต่มีการฉ้อฉล ตบตาทำสัญญาจีทูจีกับบริษัทจีเอสเอสจี ที่อัยการชี้ว่า เป็นของปลอม เป็นจีทูจีเก๊ ไม่ได้มีการส่งออกข้าวไปขายให้จีนจริง
ข้าวที่นำไปทำธุรกรรมจีทูจีเก๊ดังกล่าว มีการทุจริตกันทุกขั้นตอนในยุคที่กระทรวงพาณิชย์ บริหารงานโดยบุญทรง เตริยาภิรมย์และภูมิ สาระผล ก็คือข้าวที่มาจากการนำเงินของรัฐไปรับซื้อจากชาวนา ในราคาแพงเกินจริง แล้วมีการทำนิติกรรมอำพรางไปขายในราคาถูกและไม่ต้องผ่านระบบการแข่งขันราคา ทำให้รัฐเสียหาย
ป.ป.ช.และอัยการ จึงเห็นว่า การระบายข้าวดังกล่าว ไม่มีการซื้อขายแบบจีทูจีจริง แต่เปิดช่องให้มีการทุจริตในการระบายข้าวจีทูจี ที่เกิดจาก โครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่สองคดีมีความเกี่ยวพันกัน จนต้องมีนัดอ่านคำพิพากษาในวันเดียวกัน
พรุ่งนี้จะมาเสนอตอนต่อไป จะมาไขปมลับซ่อนเงื่อนของคดีจำนำข้าวกับระบายข้าวในประเด็นสำคัญที่ผูกโยงกันอย่างไรจนเกิดปัญหาการทุจริตครั้งใหญ่ โกงกันนับแสนล้านบาท ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด
