นายวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช.และอดีตประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว-การระบายข้าวจีทูจี ที่ทำสำนวนไต่สวนอย่างรัดกุมหนักแน่นด้วยพยานหลักฐาน จนจำเลยดิ้นไม่หลุด ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ลงโทษหนักทั้งจำคุก และให้จ่ายค่าเสียหาย ให้สัมภาษณ์สื่อสำนักหนึ่งว่า ผลคำพิพากษาที่ออกมาเป็นอุทาหรณ์สำคัญให้กับข้าราชการและคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องร่วมมือกับนักการเมืองทุจริตคอร์รัปชัน ที่สุดท้ายก็ถูกศาลตัดสินจำคุก
เรื่องนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งผู้เข้าไปเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นโรงสี กลุ่มอดีตข้าราชการที่เข้าไปรับใช้เขา ซึ่งการเข้าไปรับใช้โดยไม่ได้ดูว่าคุ้มหรือไม่ มีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจในทางที่ผิด เขาใช้ข้าราชการเป็นเหยื่อแล้วในที่สุดก็ต้องตกเป็นเหยื่อจริงๆ ต้องถูกจำคุก
“กรณีของนักการเมือง ผมไม่ค่อยคิดว่าพวกนี้เขาควรต้องเสียใจกับผลคำพิพากษาที่ออกมาหรือไม่ แต่กลุ่มอดีตข้าราชการที่โดนศาลฎีกาตัดสินจำคุก กลุ่มนี้น่าเสียใจมากและผมก็เสียดาย เพราะพวกนี้เขาก็รับราชการมา แต่พอมาช่วงหนึ่งต้องทำตามนักการเมือง จนมาเป็นแบบนี้ทำให้ชีวิตแปดเปื้อนต้องมีมลทิน”
จำเลยที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ทั้งหมด 17 ราย ถูกศาลฎีกาลงโทษจำคุก เป็นข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ 3 คน คือ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 5 นายฑิฆัมพร นาทวรทัต อดีต ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว และอดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และจำเลยที่ 6 นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ
ทั้ง 3 ราย ผิดข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าหน้าที่จัดการทรัพย์ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตทำผิด 4 กระทง
นายมนัสถูกจำคุกรวม 40 ปี นายฑิฆัมพร 32 ปี และนายอัครพงศ์ 24 ปี
ทั้ง 3 รายเป็นมือทำงานให้กับนายภูมิ สาระผล และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ในช่วงที่ทั้งสองคนนี้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นประธานคณะอนุกรรมการระบายข้าวโดยตำแหน่ง เพราะทั้ง 3 รายอยู่ในตำแหน่งหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศ ที่รับผิดชอบการเจรจาค้าขายแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจีโดยตรงในคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของข้าราชการทั้ง 3 รายนี้ระบุว่า
ทั้ง 3 รายเป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพาณิชย์ ต้องทราบหรือควรทราบอยู่แล้วว่า การซื้อขายแบบจีทูจี โดยเฉพาะการขายข้าวกับจีน ต้องผ่านรัฐวิสาหกิจจีนที่ชื่อว่า COFCO ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลจีนเพียงแห่งเดียว และที่ผ่านมาประเทศไทยดำเนินการซื้อขายข้าวจากจีนผ่านรัฐวิสาหกิจจีน COFCO มาโดยตลอด และ COFCO ถูกประกาศรับรองจากสากลใน WTO (องค์การการค้าโลก) ด้วย
แต่พฤติการณ์กลับเป็นผู้ไปเจรจาซื้อขายข้าวกับรัฐวิสาหกิจจีนระดับมณฑล 2 แห่ง ได้แก่ Guangdong Stationery & Sporting Goods Imp. & Exp Crop (กวางตุ้ง) จำนวน 3 สัญญา และ Hainan Grain and Oil Industrial Trading Company จำนวน 1 สัญญา
คำพิพากษายังระบุว่า การขายข้าวแบบจีทูจีต้องทำโดยรัฐบาลต่อรัฐบาล ต่อมามีการปรับแก้ไขให้ เป็นต้องทำโดยรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือผ่านรัฐวิสาหกิจในประเทศนั้นๆ ได้ ก่อนที่จำเลยจะนำยุทธศาสตร์การระบายข้าวดังกล่าวเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะอนุกรรมการระบายข้าว ที่มีจำเลยที่ 1 (นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์) เป็นประธาน (ขณะนั้น)
นายภูมิ (จำเลยที่ 1) เมื่อได้เป็นประธานอนุกรรมการระบายข้าวเพียง 2 วัน ได้นัดประชุมพิจารณายุทธศาสตร์การระบายข้าว โดยเสนอต่อที่ประชุม อย่างไรก็ดี จำเลยที่ 5 (นายมนัส) ได้เสนอที่ประชุมให้เพิ่มถ้อยคำอันเป็นพิรุธดังกล่าว (การขายข้าวแบบจีทูจีให้ทำผ่านรัฐวิสาหกิจในประเทศนั้นๆ ได้)
หลังจากนั้นนายภูมิ จึงเห็นชอบด้วย และมอบหมายให้นายมนัส นายฑิฆัมพร และนายอัครพงศ์ เป็นผู้เจรจากับรัฐวิสาหกิจจีนเพื่อดำเนินการระบายข้าวจีทูจี
นายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (ขณะนั้น) เป็นผู้ทำเรื่องเสนอไปยังนายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ (ขณะนั้น) เพื่อขอปรับเปลี่ยนระยะเวลาส่งมอบข้าว และเงื่อนไขการชำระเงินกับกวางตุ้งฯ (หนึ่งในรัฐวิสาหกิจจีนที่เข้ามาทำสัญญาซื้อข้าวจีทูจี)
ในสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช.ซึ่งสำนักข่าวอิศรานำมาเผยแพร่ ยังได้กล่าวถึงพฤติการณ์ของนายมนัสว่า ในการขายข้าวให้แก่กวางตุ้งฯ ในช่วงปี 2554-2555 พบว่า นายมนัส คือผู้ที่นำเสนอเรื่องต่อนายภูมิ และนายบุญทรง เพื่อขอแก้ไขสัญญาซื้อขายข้าวกับกวางตุ้งฯ โดยขอปรับเปลี่ยนระยะเวลาการรับมอบอย่างน้อย 5 ครั้ง รวมถึงทำเรื่องผ่อนผันเงื่อนไขปริมาณการรับมอบข้าว และการเพิ่มเงื่อนไขการชำระเงินด้วย
ในช่วงเวลาดังกล่าว มีกลุ่มผู้ค้าข้าวรายย่อย-โรงสีติดต่อผ่าน พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ เลขานุการ รมว.พาณิชย์ (ขณะนั้น) เพื่อขอจ่ายเงินเป็นแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่ายกรมการค้าต่างประเทศ ให้นำข้าวออกจากคลังสินค้ามาขายต่อ โดยแคชเชียร์เช็คดังกล่าวมี พ.ต.นพ.วีระวุฒิ นายนิมล รักดี รวมถึงนายตำรวจรายหนึ่งที่เรียกกันว่า ‘สารวัตร’ เป็นผู้รับเงิน
นอกจากนี้นายนิมล และบุคคลในเครือข่ายบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ยังติดต่อไปยังกลุ่มผู้ค้าข้าวรายย่อย-โรงสีรายอื่น เพื่อจะขายข้าวจากคลังสินค้า ที่ต้องนำไปขายให้กับ 2 รัฐวิสาหกิจจีน นำไปเวียนขายต่อในประเทศ โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีนายนิมล นายลิตร พอใจ นายรัฐนิธ โสจิระกุล และเครือข่ายบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ก่อนที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวจะทำเป็นแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่ายกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อนำไปเบิกนำข้าวออกจากคลังสินค้ารัฐ เพื่อนำมาขายต่อด้วย
คงจำกันได้ว่า ในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งนายมนัส และนายฑิฆัมพร พูดถึง ความสำเร็จของการระบายข้าวจีทูจีบ่อยๆ แต่เมื่อถูกถามว่า ขายข้าวให้ประเทศใดบ้าง เป็นจำนวนเท่าไร จะไม่ยอมให้ข้อมูล โดยอ้างว่าเป็นความลับ
วันนี้ มือชงทั้ง 3 รายได้รับผลกรรมที่ใช้อำนาจในทางที่ผิดรับใช้นักการเมืองที่ทุจริต