xs
xsm
sm
md
lg

ศาลฎีกาฯ สั่งห้ามนำอุปกรณ์สื่อสารเข้าไปในห้องพิจารณาคดีจำนำข้าวพรุ่งนี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR Online - อัยการโพสต์แจงขั้นตอนองค์คณะลงมติทำคำพิพากษากลางคดีจำนำข้าวพรุ่งนี้ โดยจำเลยขอยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วัน ศาลสั่งห้ามนำโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดเข้าไปในห้องพิจารณาโดยเด็ดขาด

วันนี้ (24 ส.ค.) ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ได้เขียนข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยอธิบายขั้นตอนทางกฎหมายเกี่ยวกับการอ่านคำพิพากษาในคดีโครงการรับจำนำข้าว และโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐที่จะมีการอ่านคำพิพากษาในวันที่ 25 สิงหาคม มีข้อความระบุว่า

“มีข้อกฎหมายเล็กน้อยมาเล่าสู่กันฟังในเรื่องการตัดสินคดีระบายข้าวและคดีจำนำข้าวในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 20 บัญญัติให้การทำคำสั่งที่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดหรือการพิพากษาคดี ให้ผู้พิพากษาในองค์คณะผู้พิพากษาทุกคนทำความเห็นในการวินิจฉัยคดีเป็นหนังสือ พร้อมทั้งต้องแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุมก่อนการลงมติ และให้ถือมติตามเสียงข้างมาก

โดยองค์คณะผู้พิพากษาอาจมอบหมายให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาเป็นผู้จัดทำคำสั่งหรือคำพิพากษาตามมตินั้นก็ได้ และคำสั่งที่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดี หรือคำพิพากษาของศาล ให้เปิดเผยโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ส่วนความเห็นในการวินิจฉัยคดีของผู้พิพากษาในองค์คณะผู้พิพากษาทุกคนให้เปิดเผยตามวิธีการที่ประธานศาลฎีกากำหนด และตามมาตรา 20 บัญญัติให้ความเห็นในการวินิจฉัยคดีที่อย่างน้อยต้องประกอบด้วย ชื่อคู่ความทุกฝ่าย เรื่องที่ถูกกล่าวหา ข้อกล่าวหา และคำให้การ ข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณา เหตุผลในการวินิจฉัยทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย บทบัญญัติของกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิง คำวินิจฉัยคดี รวมทั้งการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องถ้ามี”

นอกจากนี้ ดร.ธนกฤตยังอธิบายเรื่องการอุทธรณ์คำพิพากษาว่า ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 195 วรรค 4 บัญญัติให้สามารถอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา และตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 195 วรรค 7 บัญญัติให้หลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้น สิทธิในการอุทธรณ์คดีมีอยู่ตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ตามที่เคยให้ความเห็นผ่านทางสื่อต่างๆ ไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม หลักเกณฑ์การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญปี 2550 นั้น เป็นไปตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากำหนด ขณะนี้ถูกยกเลิกไปแล้วโดยผลของรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 195 วรรค 7 ส่วนหลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์ใหม่ตามที่รัฐธรรมนูญปี 2560 บัญญัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว ก็ยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ ยังไม่มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย ทำให้การยื่นอุทธรณ์ในระหว่างที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ ยังไม่มีผลบังคับใช้ขาดความชัดเจนในเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น หากฝ่ายจำเลยจะยื่นอุทธรณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องมาแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ศาลในขณะยื่นอุทธรณ์ ตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 60 ซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ บัญญัติไว้ด้วยหรือไม่ ซึ่งตามมาตรา 60 บัญญัติว่า กรณีที่จำเลยซึ่งไม่ได้ถูกคุมขังเป็นผู้อุทธรณ์ จำเลยจะยื่นอุทธรณ์ได้ต่อเมื่อแสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาลในขณะยื่นอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ และศาลจะสั่งรับอุทธรณ์อย่างไร ในเมื่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ ยังไม่มีผลบังคับใช้

นอกจากนี้ การคัดเลือกองค์คณะของศาลฎีกาจำนวน 9 คน โดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่จะมาพิจารณาอุทธรณ์ตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 62 บัญญัติให้ การวินิจฉัยอุทธรณ์ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาดำเนินการโดยองค์คณะของศาลฎีกาซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาจำนวน 9 คน ซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาคัดเลือกจากผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา หรือผู้พิพากษาอาวุโสซึ่งเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาซึ่งไม่เคยพิจารณาคดีนั้นมาก่อน ก็น่าจะยังไม่สามารถดำเนินการได้ในระหว่างที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ ยังไม่มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย

“ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์ดังที่กล่าวไปนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะคดีระบายข้าว คดีจำนำข้าวเท่านั้น แต่ยังเกิดในการอุทธรณ์คำพิพากษาคดีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ด้วยเช่นกัน หากมีการประกาศให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฉบับใหม่ มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ทันเวลาภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ก็จะทำให้หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นอุทธรณ์มีความชัดเจน และการยื่นอุทธรณ์และการดำเนินการที่เกี่ยวข้องก็จะมีกฎหมายรองรับชัดเจนด้วย ที่เขียนมานี้ถือว่าเล่าสู่กันฟังเป็นข้อกฎหมายเล็กๆ น้อยๆ ก็คงต้องรอดูกันต่อไปครับ”

ต่อมาในเมื่อช่วงเย็น นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมรับฟังคำพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าวในวันที่ 25 สิงหาคม ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่าพร้อมที่จะไปรับฟังคำพิพากษา โดยคาดว่าจะเดินทางไปถึงศาลในช่วงเวลาที่เช้ากว่าเดิม เพราะครั้งก่อนศาลนัดเวลา 09.30 น. ส่วนครั้งนี้ศาลนัดเวลา 09.00 น. แต่ตนไม่ทราบแน่ชัดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินทางไปถึงศาลในเวลากี่โมง ส่วนจะพบปะมวลชนที่มาให้กำลังใจด้วยหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบรายละเอียดเนื่องจากมีการจัดพื้นใหม่แบ่งกั้นโซน ตนเดินทางไปก็ยังไม่รู้ว่าจะเจอสถานการณ์อย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการเตรียมอ่านคำพิพากษาคดีนี้ ล่าสุดชัดเจนแล้วว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะไม่ถ่ายทอดสัญญาณเสียงขณะอ่านคำตัดสินออกมานอกห้องพิจารณาแต่อย่างใด ขณะที่การเข้าฟังภายในห้องพิจารณาก็จะจัดพื้นที่สำหรับคู่ความอัยการโจทก์-จำเลย, ทนายความผู้ติดตาม, เครือญาติ รวมทั้งสื่อมวลชนซึ่งในส่วนของสื่อมวลชนให้ลงรายชื่อโดยอนุญาตให้เข้าฟังห้องพิจารณาสำนักข่าวละ 1 คน เนื่องจากพื้นที่ห้องพิจารณาค่อนข้างจำกัดสามารถรองรับบุคคลได้กว่า 100 คน โดยชัดเจนว่าผู้ที่เข้าฟังคำตัดสินห้ามนำโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดเข้าไปในห้องพิจารณาโดยเด็ดขาด

ด้านแหล่งข่าวจากศาลยุติธรรมเปิดเผยว่า ขณะนี้ทางศาลฎีกาได้มีการเตรียมความพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ในด้านการจัดระเบียบและรักษาความปลอดภัยในสำหรับการอ่านคำพิพากษาคดีทั้งสองคดีแล้ว ขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีจำเลยคนใดคนหนึ่งในสองคดีดังกล่าวมีการยื่นคำร้องเพื่อขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาในคดีมาแต่อย่างใด
กำลังโหลดความคิดเห็น