xs
xsm
sm
md
lg

ส่อมียกสอง อัยการชี้ “ยิ่งลักษณ์” มีสิทธิอุทธรณ์คดีจำนำข้าว 30 วันตาม รธน.60 หลังศาลฯ ตัดสิน 25 ส.ค.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี(ภาพจากแฟ้ม)
MGR Online - อัยการชี้คดี “ยิ่งลักษณ์” ปล่อยปละละเลยทุจริตจำนำข้าวอาจมียกสอง หลังพิพากษาวันที่ 25 ส.ค. คู่ความมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ใน 30 วัน ตามรัฐธรรมนูญใหม่ปี 60 ระบุออกกฎหมายลูกไม่ทัน ไม่เป็นเหตุอ้างตัดสิทธิคู่ความ

วันนี้ (28 ก.ค.) นายธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด อธิบายถึงสิทธิการยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีตกเป็นจำเลยและศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ว่า ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 195 วรรค 4 บัญญัติให้คู่ความสามารถอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา โดยไม่ต้องมีพยานหลักฐานใหม่ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญดังเช่นที่รัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 278 วรรค 3 เคยบัญญัติไว้

แต่ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 195 วรรค 7 ก็ได้บัญญัติให้หลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว จึงอาจทำให้เกิดปัญหาในการตีความกฎหมายได้ว่าจะสามารถอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้หรือไม่

ในเรื่องนี้การพิจารณาจะต้องยึดถือรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเป็นหลัก ถึงแม้กฎหมายลูก คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะยังไม่มีผลบังคับใช้ ก็จะไปตีความกฎหมายตัดสิทธิคู่ความในคดีว่าไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ อันเป็นการใช้สิทธิโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลไม่ได้ คู่ความในคดีจึงมีสิทธิในการอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ ตามที่รัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 195 วรรค 4 บัญญัติไว้ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การใช้สิทธิในการอุทธรณ์ต้องรอให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีผลใช้บังคับก่อนจึงจะสามารถยื่นอุทธรณ์ได้

สำหรับหลักเกณฑ์การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 นั้น เป็นไปตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากำหนด ซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีอำนาจออกระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์ได้เองโดยไม่ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความแตกต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่หลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ

นายธนกฤตกล่าวอีกว่า สำหรับระบบการฎีกาในประเทศต่างๆ ทั่วโลกนั้นใช้ระบบสิทธิและระบบอนุญาต โดยประเทศไทยได้นำเอาการฎีการะบบอนุญาตมาใช้ในการยื่นฎีกาในคดีแพ่ง ตามที่ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2558 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2558 โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 กำหนดให้การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในคดีแพ่งจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา โดยการขออนุญาตฎีกาให้ยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้น และมาตรา 249 กำหนดให้ศาลฎีกาพิจารณาอนุญาตให้ฎีกาได้เมื่อเห็นว่าปัญหาที่ฎีกาเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย และหากศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ฎีกาแล้ว คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมถึงที่สุด

ส่วนในคดีอาญานั้น ไม่ได้มีการนำเอาการฎีการะบบอนุญาตมาใช้บังคับในประเทศไทยด้วยถึงแม้ว่าจะมีความพยายามผลักดันจากหลายฝ่าย เพราะเกรงว่าจะกระทบสิทธิในการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลของคู่ความในคดีอาญา เนื่องจากคดีอาญาเป็นคดีที่กระทบต่อเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของบุคคล แตกต่างจากคดีแพ่งซึ่งมักเป็นเรื่องพิพาทกันในทางทรัพย์สิน จึงไม่ควรจำกัดและลดทอนสิทธิในการยื่นฎีกาของคู่ความในคดีอาญา
กำลังโหลดความคิดเห็น