ในระหว่างหลายปีที่เกิดวิกฤตการเมือง วันที่ 24 มิถุนายนกลายเป็นหมุดหมายสำคัญเชิงสัญลักษณ์ของกลุ่มเคลื่อนไหวการเมืองในแบบที่ไม่ใช่ความหมายแบบเดิมๆ ไปแล้ว วันที่ 24 มิถุนาเริ่มกลายเป็นวันเคลื่อนไหวของนักเสรีนิยมก้าวหน้ารักประชาธิปไตยเฉพาะสีแดง นั่นยังไม่เท่าไหร่ แต่ที่ไม่ค่อยเข้าใจก็คือ ไหงมันกลายเป็นวันสัญลักษณ์ของการล้มเจ้าไปเสียอย่างงั้น!
ปีก่อนโน้น ผมเคยไปร่วมรณรงค์กระจายอำนาจจังหวัดจัดการตนเองที่เขาใช้ฤกษ์ 24 มิถุนายนจัดงาน กลับมาถึงบ้านทราบข่าวว่าตัวเองถูกชาวคณะรักชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ฝ่ายเหลืองจัดให้รวมกับพวกล้มเจ้าเสื้อแดงไปซะ คือสุดโต่งน่ะมีด้วยกันทุกสีแหละ
ที่จริงแล้วการนิยามความหมายทำนองนี้น่ะปรบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกครับ คือถ้าฝ่ายไม่ชอบเจ้าเอะอะแสดงออก (เนียนๆเชิงสัญลักษณ์) กันประสาตนโดยไม่ที่อีกฝ่ายคือฝ่ายรักเจ้ายิ่งชีพมากจนล้น (ที่ไม่ใช่แบบพอประมาณตามประสาคนทั่วไปเขารัก )ไม่ร่วมปรบมืออีกข้างด้วย มันก็คงยังเป็นแค่ 24 มิถุนายนธรรมดาๆ แต่แสดงอาการไล่ล่าตามราวีแบบปรบมือช่วยอีกข้างขนาดถึงขั้นใครขยับตัวทำอะไรในวันที่ 24 มิถุนายนแล้วไซร้ต้องเป็นฝ่ายแดงล้มเจ้าอย่างแน่นอน จึงทำให้ความหมายของวันที่ 24 มิถุนายนใกล้จะเปลี่ยนไปเป็นวันล้มเจ้าไปเสียจริงๆ
หากไม่คิดลึก/คิดมาก 24 มิถุนายน ก็แค่หมุดหมายรำลึกถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 80 กว่าปีก่อน สมัยโน้นหากจะจัดเวทีเสวนาหรือกิจกรรมทางวิชาการอะไรส่วนใหญ่ก็มักจะวนๆ อยู่ที่ประเด็นคณะราษฎรชิงสุกก่อนห่าม? หรือเหมาะสมแล้ว? อีกฝ่ายก็วิจารณ์ว่าฝ่ายเจ้าล้าหลังไม่คายอำนาจ ฯลฯ คือไม่ได้มาไกลขนาดเป็นวันของฝ่ายเสื้อแดง หรือไปถึงขนาดกลายเป็นวันล้มเจ้าเหมือนยุคนี้ 24 มิถุนายนจึงถูกหมุนไปหมุนมาตามมุมที่ผู้คนของแต่ละยุคสมัยชมชอบ
คือมนุษย์เรานี่นะมักจะจดจำและตีความอะไรไปตามจริตที่ตัวเองชอบ แทนที่จะมองวันครบรอบเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ให้เป็นวันรำลึกเหตุการณ์นั้นจริงๆ กลับสร้างแต่งนิยามความหมายใหม่ให้กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คล้ายๆ กัน
ประวัติศาสตร์มีไว้ให้ย้อนทบทวน การย้อนดูอดีตเพื่อให้เห็นปัจจุบันชัดเจนขึ้น แต่ที่สุดแล้ว เหตุในอดีตน่ะมันเป็นอย่างไรก็อย่างนั้น จะไปลบออกตัดทอนแก้ไขไม่ได้แล้ว อดีตมีไว้เป็นตัวอย่างข้อเตือนใจเพื่อให้ก้าวออกจากปัญหาปัจจุบันรอบคอบขึ้น แต่ผู้คนจำนวนไม่น้อยกลับเลือกจดจำ เลือกอธิบายเล่าสู่ เวลาไปรำลึกเหตุการณ์เช้าตรู่วันที่ 24 มิถุนายน ก็ไปล้อมจุดเทียนอยู่หน้าหมุดทองเหลืองบนถนน แบบว่าซาบซึ้งมาก โดยผู้ที่ไปร่วมจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะไม่จดจำว่าในบรรดาทหารทั้งหลายที่ไปชุมนุมที่นั่นมีไม่น้อยที่ถูกผู้บังคับบัญชาต้อนขึ้นรถไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าไปทำไม
การเมืองแบบพระเอกผู้ร้าย ฮีโร่ฝ่ายฉัน ผู้ร้ายฝ่ายเธอ มันบั่นทอนความรับรู้ตลอดถึงการแก้ปัญหา ที่ผ่านๆ มาก็มีทั้งฝ่ายรักเจ้า บอกว่าฝ่ายเจ้าเป็นผู้ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม คณะราษฎรทำเสียของ ส่วนฝ่ายชอบคณะราษฎรก็ยกให้เจ้าและชนชั้นสูงเป็นปฏิปักษ์ขัดขวางกับการพัฒนาประชาธิปไตยเรื่อยมา...แปลกนะครับ 80 มาแล้วเราก็ยังติดอยู่กับกระบวนทัศน์แบบนี้ วิธีคิดของคนที่เรียกตัวเองว่าก้าวหน้าจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันยังชี้ว่าสถาบันฯ และชนชั้นสูงเป็นปัจจัยหลักอุปสรรคกับประชาธิปไตย ดูคลิปที่อดีตส.ส.หัวขาวซึ่งปัจจุบันลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศพูดก็แบบนี้แหละ โทษไปเสียทุกอย่างยกเว้นนักการเมืองและตัวเอง
จริตของคนนั้นชอบฮีโร่และโลกสวย ขณะที่โลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นโดยเฉพาะโลกของการเมือง เพราะการเมืองมันมีสีออกเทาไม่มีหรอกที่สีขาวใส
คนจำนวนไม่น้อยรับไม่ได้กับคำกล่าวที่ว่า ปรีดี พนมยงค์ และคณะราษฎรเกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร ปีแรกของการมีอำนาจรัฐคณะราษฎรนำโดยพล.อ.พระยาพหลฯ ก็เอาปืนจี้พระยามโนปกรณ์พ้นจากอำนาจเสียแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องที่คณะราษฎรด้วยกันชิงอำนาจกันเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ปรีดี พนมยงค์ ยกกำลังทหารติดอาวุธฝ่ายตนพยายามทำรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จเกิดกบฏวังหลวง
โลกการเมืองไทยในความเป็นจริงเกี่ยวข้องกับการใช้ปืนไปรัฐประหารมาแต่เริ่มแล้ว เรารับความจริงข้อนี้กันไหม
80 กว่าปีมานี้เราเลือกที่จะจดจำเฉพาะส่วนที่สีขาวฝ่ายฉัน และส่วนสีดำฝ่ายของเธอ กลายเป็นว่าครูบาอาจารย์นักวิชาการและนักการเมืองเองนั่นล่ะที่เป็นตัวนำสั่งสอนผู้คนให้เข้าใจผิดว่ามีการเมืองสองขั้ว คือฝ่ายโลกสีขาวฝ่ายฉันและสีดำของฝ่ายโน้น คำอธิบายกล่าวโทษยังวนเวียนอยู่กับกระบวนทัศน์เดิมๆ ชนชั้นนำเป็นอุปสรรค ชนชั้นสูงไม่คายอำนาจ นี่ไม่ได้กล่าวลอยๆ มันมีคลิปยืนยันที่นักการเมืองหัวขาว(ที่กล่าวถึงไปแล้ว) พูดไปในทำนองนี้ ซึ่งไม่เข้าท่าเลย ทำอย่างกับว่าถ้าบังเอิญมีพระอินทร์เขียวๆ เหาะลงมาใช้อำนาจวิเศษตัดสถาบันบางสถาบันออกไปให้หมดภายในวันเดียว แล้วการเมืองไทยจะดีขึ้นเป็นประชาธิปไตยทันตาเห็นหรือครับ!!??
ที่แท้แล้วปัญหาของการเมืองไทยที่ไม่สมดุลลงตัวสักทีเพราะประชาชนเจ้าของประเทศแท้ๆ ถูกนำมาอ้างบังหน้า มาตั้งแต่ต้น เพราะสารัตถะของการเมืองไทยก็คือการเมืองของชนชั้นนำ และคณะราษฎรเองก็เป็นหนึ่งในปัญหานั้น
คณะราษฎรยึดอำนาจเดือนมิถุนายนทำท่าขึงขัง ใช้ถ้อยคำในประกาศแบบก้าวร้าวรุนแรง หลังจากนั้นใช้เวลา 3 เดือนเจรจาต่างๆ จนกระทั่งเหตุการณ์ 10 ธันวาคมวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ ที่ทรงเสด็จพระราชทานลงมามีรัฐธรรมนูญวางบนพานแว่นฟ้ามีพระราชพิธีเฉลิมฉลองประกาศในราชกิจจานุเบกษา การเมืองแบบไทยๆ ไม่ได้เอาให้ตายกันไปข้างเหมือนยุโรปบางประเทศ การปกครองรูปแบบใหม่วางอยู่บนโครงสร้างระบบราชการแบบรวมศูนย์ดั้งเดิมที่ปรับปรุงมาแต่สมัยรัชกาลที่ 5
อำนาจการเมืองในยุคแรกคือยุคคณะราษฎรคืออำนาจระบบราชการและเทคโนแครตนั่นแล ไม่ได้มีประชาชนเป็นส่วนร่วมในโครงสร้างอะไรเลย!
แล้วจากนั้นก็เป็นวาระของการทะเลาะเบาะแว้ง/ขัดแย้ง/แย่งชิงอำนาจกันในระหว่างชนชั้นนำใหม่กับใหม่ ระหว่างชนชั้นนำใหม่กับเก่า ระหว่างชนชั้นนำเก่ากับเก่า (เพราะอยู่ไปนานๆ พวกที่เคยใหม่ก็พลอยเก่า) เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
สารัตถะของการเมืองไทยนับจากโน้นมาถึงปัจจุบันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนัก หลักๆ คือเรื่องของชนชั้นนำแย่งชิงอำนาจต่อรองอำนาจผลประโยชน์บนฐานของระบบราชการรวมศูนย์ที่รวมศูนย์มากขึ้นๆ ( โดยมีพวกก้าวหน้า ตะโกนปาวๆ ว่าเจ้าไม่ยอมคายอำนาจ ตะโกนอยู่ข้างๆ บ้างตามประสาของนักก้าวหน้า)
วันที่ 24 มิถุนายน 2558 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ก็คงเป็นอีกวันที่มีกลุ่มกิจกรรมก้าวหน้ารักประชาธิปไตยยกโขยงไปยืนซาบซึ้งกับหมุดทองเหลือง แล้วก็มีกิจกรรมเสวนาก้าวหน้าว่าด้วยชนชั้นเป็นปัญหาการสร้างประชาธิปไตย คงจะมีการพูดในทำนองเชิดชูฝ่ายคณะราษฎรเฉพาะคน (เพราะตะขิดตะขวงที่จะยกพร้อมกันหมด) อาจจะมีกลุ่มเนียนๆ อาศัยจังหวะพาดพิงคนที่ประชาชนรักปนๆ มาในขบวน แล้วก็จะมีกลุ่มที่ไม่พอใจกวาดนิ้วชี้ไปหมดว่าทั้งหมดนั่นน่ะล้มเจ้าพอให้มีสีสันกันไปอีกวัน
ผมน่ะไม่เคยไปร่วมและจะไม่มีทางไปร่วมกับคณะใดๆ ที่ยังวนเวียนชี้นิ้วไปที่ชนชั้นสูง ชนชั้นนำๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นอุปสรรคและฝ่ายตัวเองเป็นทางออก แต่หากมีกลุ่มไหนคณะไหนตะโกนถามหาชนชั้นล่างๆ ชนชั้นต่ำๆ มีสิทธิ์จริงหรือเปล่านั่นล่ะจึงค่อยคิดอยากจะไปร่วมกับเขา
24 มิถุนาปีนี้ ถ้าไม่มีเวทีรณรงค์เรื่องกระจายอำนาจเหมือนที่เขาเคยชวนก็คงไม่ไปไหน อยู่บ้านนอนเกาพุงดูข่าวนักกิจกรรมก้าวหน้าทำท่าซาบซึ้งกับหมุดทองเหลืองปานจะกลืนกิน แล้วก็ดูข่าวแกนนำม็อบประชาธิปไตยทั้งหลายออกมาพร่ำเพ้อเรื่องประชาธิปไตยกับเผด็จการให้พอบันเทิงเริงรมย์ผ่านวันไปได้อีกวัน.
ปีก่อนโน้น ผมเคยไปร่วมรณรงค์กระจายอำนาจจังหวัดจัดการตนเองที่เขาใช้ฤกษ์ 24 มิถุนายนจัดงาน กลับมาถึงบ้านทราบข่าวว่าตัวเองถูกชาวคณะรักชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ฝ่ายเหลืองจัดให้รวมกับพวกล้มเจ้าเสื้อแดงไปซะ คือสุดโต่งน่ะมีด้วยกันทุกสีแหละ
ที่จริงแล้วการนิยามความหมายทำนองนี้น่ะปรบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกครับ คือถ้าฝ่ายไม่ชอบเจ้าเอะอะแสดงออก (เนียนๆเชิงสัญลักษณ์) กันประสาตนโดยไม่ที่อีกฝ่ายคือฝ่ายรักเจ้ายิ่งชีพมากจนล้น (ที่ไม่ใช่แบบพอประมาณตามประสาคนทั่วไปเขารัก )ไม่ร่วมปรบมืออีกข้างด้วย มันก็คงยังเป็นแค่ 24 มิถุนายนธรรมดาๆ แต่แสดงอาการไล่ล่าตามราวีแบบปรบมือช่วยอีกข้างขนาดถึงขั้นใครขยับตัวทำอะไรในวันที่ 24 มิถุนายนแล้วไซร้ต้องเป็นฝ่ายแดงล้มเจ้าอย่างแน่นอน จึงทำให้ความหมายของวันที่ 24 มิถุนายนใกล้จะเปลี่ยนไปเป็นวันล้มเจ้าไปเสียจริงๆ
หากไม่คิดลึก/คิดมาก 24 มิถุนายน ก็แค่หมุดหมายรำลึกถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 80 กว่าปีก่อน สมัยโน้นหากจะจัดเวทีเสวนาหรือกิจกรรมทางวิชาการอะไรส่วนใหญ่ก็มักจะวนๆ อยู่ที่ประเด็นคณะราษฎรชิงสุกก่อนห่าม? หรือเหมาะสมแล้ว? อีกฝ่ายก็วิจารณ์ว่าฝ่ายเจ้าล้าหลังไม่คายอำนาจ ฯลฯ คือไม่ได้มาไกลขนาดเป็นวันของฝ่ายเสื้อแดง หรือไปถึงขนาดกลายเป็นวันล้มเจ้าเหมือนยุคนี้ 24 มิถุนายนจึงถูกหมุนไปหมุนมาตามมุมที่ผู้คนของแต่ละยุคสมัยชมชอบ
คือมนุษย์เรานี่นะมักจะจดจำและตีความอะไรไปตามจริตที่ตัวเองชอบ แทนที่จะมองวันครบรอบเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ให้เป็นวันรำลึกเหตุการณ์นั้นจริงๆ กลับสร้างแต่งนิยามความหมายใหม่ให้กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คล้ายๆ กัน
ประวัติศาสตร์มีไว้ให้ย้อนทบทวน การย้อนดูอดีตเพื่อให้เห็นปัจจุบันชัดเจนขึ้น แต่ที่สุดแล้ว เหตุในอดีตน่ะมันเป็นอย่างไรก็อย่างนั้น จะไปลบออกตัดทอนแก้ไขไม่ได้แล้ว อดีตมีไว้เป็นตัวอย่างข้อเตือนใจเพื่อให้ก้าวออกจากปัญหาปัจจุบันรอบคอบขึ้น แต่ผู้คนจำนวนไม่น้อยกลับเลือกจดจำ เลือกอธิบายเล่าสู่ เวลาไปรำลึกเหตุการณ์เช้าตรู่วันที่ 24 มิถุนายน ก็ไปล้อมจุดเทียนอยู่หน้าหมุดทองเหลืองบนถนน แบบว่าซาบซึ้งมาก โดยผู้ที่ไปร่วมจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะไม่จดจำว่าในบรรดาทหารทั้งหลายที่ไปชุมนุมที่นั่นมีไม่น้อยที่ถูกผู้บังคับบัญชาต้อนขึ้นรถไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าไปทำไม
การเมืองแบบพระเอกผู้ร้าย ฮีโร่ฝ่ายฉัน ผู้ร้ายฝ่ายเธอ มันบั่นทอนความรับรู้ตลอดถึงการแก้ปัญหา ที่ผ่านๆ มาก็มีทั้งฝ่ายรักเจ้า บอกว่าฝ่ายเจ้าเป็นผู้ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม คณะราษฎรทำเสียของ ส่วนฝ่ายชอบคณะราษฎรก็ยกให้เจ้าและชนชั้นสูงเป็นปฏิปักษ์ขัดขวางกับการพัฒนาประชาธิปไตยเรื่อยมา...แปลกนะครับ 80 มาแล้วเราก็ยังติดอยู่กับกระบวนทัศน์แบบนี้ วิธีคิดของคนที่เรียกตัวเองว่าก้าวหน้าจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันยังชี้ว่าสถาบันฯ และชนชั้นสูงเป็นปัจจัยหลักอุปสรรคกับประชาธิปไตย ดูคลิปที่อดีตส.ส.หัวขาวซึ่งปัจจุบันลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศพูดก็แบบนี้แหละ โทษไปเสียทุกอย่างยกเว้นนักการเมืองและตัวเอง
จริตของคนนั้นชอบฮีโร่และโลกสวย ขณะที่โลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นโดยเฉพาะโลกของการเมือง เพราะการเมืองมันมีสีออกเทาไม่มีหรอกที่สีขาวใส
คนจำนวนไม่น้อยรับไม่ได้กับคำกล่าวที่ว่า ปรีดี พนมยงค์ และคณะราษฎรเกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร ปีแรกของการมีอำนาจรัฐคณะราษฎรนำโดยพล.อ.พระยาพหลฯ ก็เอาปืนจี้พระยามโนปกรณ์พ้นจากอำนาจเสียแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องที่คณะราษฎรด้วยกันชิงอำนาจกันเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ปรีดี พนมยงค์ ยกกำลังทหารติดอาวุธฝ่ายตนพยายามทำรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จเกิดกบฏวังหลวง
โลกการเมืองไทยในความเป็นจริงเกี่ยวข้องกับการใช้ปืนไปรัฐประหารมาแต่เริ่มแล้ว เรารับความจริงข้อนี้กันไหม
80 กว่าปีมานี้เราเลือกที่จะจดจำเฉพาะส่วนที่สีขาวฝ่ายฉัน และส่วนสีดำฝ่ายของเธอ กลายเป็นว่าครูบาอาจารย์นักวิชาการและนักการเมืองเองนั่นล่ะที่เป็นตัวนำสั่งสอนผู้คนให้เข้าใจผิดว่ามีการเมืองสองขั้ว คือฝ่ายโลกสีขาวฝ่ายฉันและสีดำของฝ่ายโน้น คำอธิบายกล่าวโทษยังวนเวียนอยู่กับกระบวนทัศน์เดิมๆ ชนชั้นนำเป็นอุปสรรค ชนชั้นสูงไม่คายอำนาจ นี่ไม่ได้กล่าวลอยๆ มันมีคลิปยืนยันที่นักการเมืองหัวขาว(ที่กล่าวถึงไปแล้ว) พูดไปในทำนองนี้ ซึ่งไม่เข้าท่าเลย ทำอย่างกับว่าถ้าบังเอิญมีพระอินทร์เขียวๆ เหาะลงมาใช้อำนาจวิเศษตัดสถาบันบางสถาบันออกไปให้หมดภายในวันเดียว แล้วการเมืองไทยจะดีขึ้นเป็นประชาธิปไตยทันตาเห็นหรือครับ!!??
ที่แท้แล้วปัญหาของการเมืองไทยที่ไม่สมดุลลงตัวสักทีเพราะประชาชนเจ้าของประเทศแท้ๆ ถูกนำมาอ้างบังหน้า มาตั้งแต่ต้น เพราะสารัตถะของการเมืองไทยก็คือการเมืองของชนชั้นนำ และคณะราษฎรเองก็เป็นหนึ่งในปัญหานั้น
คณะราษฎรยึดอำนาจเดือนมิถุนายนทำท่าขึงขัง ใช้ถ้อยคำในประกาศแบบก้าวร้าวรุนแรง หลังจากนั้นใช้เวลา 3 เดือนเจรจาต่างๆ จนกระทั่งเหตุการณ์ 10 ธันวาคมวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ ที่ทรงเสด็จพระราชทานลงมามีรัฐธรรมนูญวางบนพานแว่นฟ้ามีพระราชพิธีเฉลิมฉลองประกาศในราชกิจจานุเบกษา การเมืองแบบไทยๆ ไม่ได้เอาให้ตายกันไปข้างเหมือนยุโรปบางประเทศ การปกครองรูปแบบใหม่วางอยู่บนโครงสร้างระบบราชการแบบรวมศูนย์ดั้งเดิมที่ปรับปรุงมาแต่สมัยรัชกาลที่ 5
อำนาจการเมืองในยุคแรกคือยุคคณะราษฎรคืออำนาจระบบราชการและเทคโนแครตนั่นแล ไม่ได้มีประชาชนเป็นส่วนร่วมในโครงสร้างอะไรเลย!
แล้วจากนั้นก็เป็นวาระของการทะเลาะเบาะแว้ง/ขัดแย้ง/แย่งชิงอำนาจกันในระหว่างชนชั้นนำใหม่กับใหม่ ระหว่างชนชั้นนำใหม่กับเก่า ระหว่างชนชั้นนำเก่ากับเก่า (เพราะอยู่ไปนานๆ พวกที่เคยใหม่ก็พลอยเก่า) เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
สารัตถะของการเมืองไทยนับจากโน้นมาถึงปัจจุบันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนัก หลักๆ คือเรื่องของชนชั้นนำแย่งชิงอำนาจต่อรองอำนาจผลประโยชน์บนฐานของระบบราชการรวมศูนย์ที่รวมศูนย์มากขึ้นๆ ( โดยมีพวกก้าวหน้า ตะโกนปาวๆ ว่าเจ้าไม่ยอมคายอำนาจ ตะโกนอยู่ข้างๆ บ้างตามประสาของนักก้าวหน้า)
วันที่ 24 มิถุนายน 2558 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ก็คงเป็นอีกวันที่มีกลุ่มกิจกรรมก้าวหน้ารักประชาธิปไตยยกโขยงไปยืนซาบซึ้งกับหมุดทองเหลือง แล้วก็มีกิจกรรมเสวนาก้าวหน้าว่าด้วยชนชั้นเป็นปัญหาการสร้างประชาธิปไตย คงจะมีการพูดในทำนองเชิดชูฝ่ายคณะราษฎรเฉพาะคน (เพราะตะขิดตะขวงที่จะยกพร้อมกันหมด) อาจจะมีกลุ่มเนียนๆ อาศัยจังหวะพาดพิงคนที่ประชาชนรักปนๆ มาในขบวน แล้วก็จะมีกลุ่มที่ไม่พอใจกวาดนิ้วชี้ไปหมดว่าทั้งหมดนั่นน่ะล้มเจ้าพอให้มีสีสันกันไปอีกวัน
ผมน่ะไม่เคยไปร่วมและจะไม่มีทางไปร่วมกับคณะใดๆ ที่ยังวนเวียนชี้นิ้วไปที่ชนชั้นสูง ชนชั้นนำๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นอุปสรรคและฝ่ายตัวเองเป็นทางออก แต่หากมีกลุ่มไหนคณะไหนตะโกนถามหาชนชั้นล่างๆ ชนชั้นต่ำๆ มีสิทธิ์จริงหรือเปล่านั่นล่ะจึงค่อยคิดอยากจะไปร่วมกับเขา
24 มิถุนาปีนี้ ถ้าไม่มีเวทีรณรงค์เรื่องกระจายอำนาจเหมือนที่เขาเคยชวนก็คงไม่ไปไหน อยู่บ้านนอนเกาพุงดูข่าวนักกิจกรรมก้าวหน้าทำท่าซาบซึ้งกับหมุดทองเหลืองปานจะกลืนกิน แล้วก็ดูข่าวแกนนำม็อบประชาธิปไตยทั้งหลายออกมาพร่ำเพ้อเรื่องประชาธิปไตยกับเผด็จการให้พอบันเทิงเริงรมย์ผ่านวันไปได้อีกวัน.