ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน :
• ท่องมาเลย์ ๑: ได้เวลาออกเดินทาง!!
• ท่องมาเลย์ ๑.๒ : โอ้ ลังกาวี...
• ท่องมาเลย์ ๑.๓ : อลอร์สตาร์ บ้านมหาเธร์
• ท่องมาเลย์ ๑.๔ : เมืองหลวงรัฐไทรบุรี
• ท่องมาเลย์ ๑.๕: ชมวัดเก็กลกสี แล้วแลวิวที่เขาปีนัง
• ท่องมาเลย์ ๑.๖ : ชิมข้าวแกงร้านดัง เที่ยวปีนังมรดกโลก
• ท่องมาเลย์ ๑.๗ : เยือนวัดพม่า ล่าภาพศิลป์ปีนัง
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
ตอนนี้ผมยืนอยู่บนเขตของชาวพม่าและกำลังจะเดินข้ามเข้าสู่เขตแดนสยามครับ .... เอ่ยมาแบบนี้ท่านผู้ที่ไม่ได้อ่านมาตั้งแต่ต้นคงงง เฮ้ยนี่เอ็งอยู่มาเลย์แล้วไปโผล่เขตพม่าได้ยังไง ก็ต้องย้อนความกันสักนิดว่า ผมอยู่ที่เมืองปีนัง งวดที่แล้วผมพาไปเที่ยวในวัดธรรมมิการาม ของชาวพม่า และสถานที่ต่อไปที่ผมจะพาไปเที่ยวก็คือ วัดไทยที่ชื่อ "ไชยมังคลาราม"
วัดนี้ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๘ ซึ่งทางอังกฤษในนามของพระราชินีอลิซาเบซได้สร้างให้แก่ชุมชนชาวไทย เพื่อสัมพันธไมตรีทางการค้ากับสยาม ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธไสยาสน์ที่มีความยาวถึง ๑๐๘ ฟุต เป็นพระประธาน ซึ่งสร้างขึ้นในปี ๒๕๐๐ และต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประพาสและทรงเยี่ยมชมวัดพร้อมพระราชทานนามว่า พระพุทธชัยมงคล เมื่อปี ๒๕๐๕
ผมเดินผ่านซุ้มประตูที่ดูเหมือนกับวัดในไทยทั่วไปเข้ามาภายใน ก็ได้เห็นศาสนสถานต่างๆ ที่ไม่ต่างกับบ้านเรานัก ทั้งวิหาร ศาลา เจดีย์ แต่โบสถ์นี่ดูภายนอกคล้ายกับเป็นโรงอะไรสักอย่าง คือไม่คุ้นตาอย่างแรง ด้านนอกมีประตูทางเข้า ๓ ประตู ประตูด้านซ้ายมือมีพญานาค ๒ ตัวนอนยาวเหยียดนำทางสู่โบสถ์ ส่วนด้านขวามือจะเป็นมังกรแบบจีน ประตูตรงกลางมียักษ์ ๒ ตน และกินรี ยืนอยู่หน้าประตู ผมเดินไปถึงหน้าโบสถ์แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ ... ไม่ใช่ว่าเข้าวัดแล้วร้อน แต่ประตูมันปิดอยู่ต่างหาก หมายความว่า ผมมาสายเกินไป ...
ว่าแต่ วันนี้ “มาฆบูชา” จะมีเวียนเทียนไหม จะเวียนกันกี่โมง หรือว่าจะมาแล้วเสียเที่ยวล่ะเนี่ย ระหว่างนั้นก็เดินไปไหว้พระในวิหารที่เปิดอยู่ พลางมองดูก็เห็นคนเข้ามาในวัด รวมทั้งชาวมุสลิมด้วย ผมพยายามสังเกตุว่าใช่คนไทยหรือไม่ เผื่อว่าจะได้เข้าไปถามถึงเวลาที่พิธีจะเริ่ม แต่กลับไม่พบ นั่งเล่นอยู่สักพักก็เจอผู้สูงวัยแต่งตัวคล้ายๆ คนบ้านเราเดินเข้าไปในโรงด้านหน้าวัดที่ดูคล้ายกับสถานศึกษา เลยเดินตามเข้าไป แล้วลองถามเป็นภาษาไทยว่า ป้าครับเขาเวียนเทียนกันกี่โมงครับ แกหันมาแล้วดูท่าตกใจนิดๆ (ไม่แน่ใจว่าแกตกใจในสภาพหน้าตาผมหรือเปล่า) แล้วแกก็ยิ้มและบอกว่า สักทุ่มนึงได้หนู เข้ามาข้างในก่อน กินข้าวหรือยัง
โอ้... เจอคนไทยแล้ว
ผมเลยขอตัวบอกงั้นเดี๋ยวกลับมาใหม่ อันที่จริงคือผมไม่รู้ว่าจะอยู่ทำอะไร ก็เลยออกเดินสำรวจแถวๆ นี้ดีกว่า เผื่อจะเจอห้างให้ผมนั่งเล่นบ้าง แถวนี้เขาว่าเป็นย่านคนรวยครับ มีตึกสูง บ้านทรงฝรั่งสมัยใหม่อยู่ด้วย กำลังเดินๆ ไปก็มีมอเตอร์ไซด์ขับมาเลียบๆ เคียงๆ ดูเป็นวัยรุ่นผู้ชายขับผู้หญิงซ้อนท้าย คนซ้อนตะโกนถามผมว่า พี่คนไทยหรือเปล่า เราก็รีบตอบว่าใช่ เขาก็ดูท่าดีใจ ก่อนคุยกันสักพัก ได้ความว่าน้องมาเรียนที่นี่แล้วได้แฟนเป็นชาวมาเลย์ ส่วนผมก็ได้เรื่องว่าถ้าเดินไปอีกไม่ไกลจากนี้มากนักก็จะเจอเกอร์นี่ย์ ไดรฟ์ ย่านอาหารข้างทางที่ผมอยากไปแต่ไม่ได้ไปเมื่อวานนี้ เราสนทนากันสักพักก่อนแยกย้ายและเธอก็ชี้ทางให้ผมไปห้างที่ใกล้ที่สุด ที่ชื่อ เกอร์นี่ย์ พารากอน
ห้างนี้ใหญ่โตและดูหรูหราเหมือนกัน ตอนแรกว่าจะหาอะไรกินสักพัก แต่ก็กลัวจะกลับไม่ทันพิธี เลยได้แค่ตากแอร์กลับมาที่วัด ซึ่งเมื่อมาถึงก็เริ่มมีชาวบ้านมานั่งรอในโบสถ์กันบ้างแล้ว ผมก็ถือโอกาสสำรวจอุโบสถเลยล่ะกัน ฝาผนังด้านบนประดับด้วยรูปเทพนม ด้านข้างและด้านหลังองค์พระ มีพระพุทธรูป พระเกจิ และ พระโพธิสัตว์ เรียงราย และมีช่องสถูปบริเวณผนังและใต้ฐานพระนอนด้วย
ผมก็นั่งรอพลางสอบถามคุณป้าวันเพ็ญ อุปัฏฐายิกาของวัด ได้ความว่า ที่นี่ถือเป็นศูนย์รวยจิตใจของชาวสยาม ทั้งที่อยู่มาตั้งแต่เป็นเกาะหมาก ผู้พลัดถิ่น และนักศึกษา เวลามีงานสำคัญทางศาสนาคนเหล่านี้ก็จะกลับมากัน เล่าสารทุกข์สุขดิบ นอกจากนี้ก็ยังมีชาวมาเลย์ และจีน ที่นับถือพุทธแบบไทยก็จะมาทำพิธีด้วย แต่ก่อนย่านนี้ถือเป็นแหล่งชุมชนชาวสยามที่ใหญ่มาก แต่กาลเวลาผ่านไปก็ทำให้ขนาดของชุมชนเล็กลง คนไทยที่แต่งงานกับชาวมาเลย์ก็อพยพถิ่นฐาน บางคนก็กลายเป็นชาวท้องถิ่น แกบอกว่า ตอนนี้เหลือคนเก่าแก่ที่สุดอยู่ ๒ คน คน ๑ คือปู่วัย ๙๐ เป็นชาวสยามในปีนังแท้ๆ ส่วนอีกคนคือบุตรของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรกของสยาม หลังลี้ภัยทางการเมืองตามพ่อมา ซึ่งพระยามโนฯ ก็ได้อสัญกรรมที่นี่ด้วย
เมื่อใกล้เวลาพิธีฝูงชนก็เริ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษาที่มาเรียนที่นี่มากันเยอะเลยทีเดียว มีคุณจงเจริญ เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองกงสุลใหญ่เมืองปีนัง เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธี ความรู้สึกตอนนี้เหมือนผมอยู่ในวัดสักที่ที่ไทย บรรยากาศคุ้นเคยแต่จะไม่คุ้นก็ตรงที่เวียนกันภายในโบสถ์เนี่ยล่ะ
ร่วมพิธีจนเสร็จสรรพชะแว่บคุยกับนักศึกษาที่นั่นถามความเป็นอยู่ตามเรื่องราว ก่อนกลับที่พัก คุณป้าวันเพ็ญ ก็แนะนำว่าที่ย่านเอสพละนาถ หรือปีนังฮออล์ เขามีจัดงานวันวาเลนไทน์กัน เราก็สงสัย พลางนึกภาพเมื่อเช้าที่เราเดินผ่านเห็นหุ่นตามปีนักษัตร ป้าเขาบอกว่า แต่ละปีจะมีเทศกาลโยนผลส้มหาคู่ให้ลองนั่งรถไปเที่ยวเล่นดู ผมจึงถามน้องนักศึกษาที่สนใจ สรุปได้เพื่อนร่วมขบวนมา ๓ คน เป็นชาวฮ่องกงอีก ๑ ราย ว่าแต่ น้องเขามาเรียนอะไร? ...... ปีนังเป็นเมือง ๑ ที่คนไทยนิยมมาเรียนภาษาอังกฤษกันครับ เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่าประเทศอื่น ทั้งค่าเรียน ที่พัก อาหาร แถมคนในเมืองก็พูดอังกฤษกันมากเสียด้วย
ผมให้น้องๆ ไปกันก่อน เพราะต้องกลับไปชาร์ตแบตกล้องถ่ายรูปในที่พัก เมื่อได้ที่สักพัก ก็กลับไปย่านที่จัดงาน อันที่จริงแล้ว มันเป็น “เทศกาลจั๊บ โก๋ เหม่” (Chap Goh Meh) ของชาวจีนฮกเกี๊ยน ที่จัดขึ้นหลังวันตรุษ ๑๕ วัน ถ้าเข้าใจไม่ผิดมันก็คือวันเดียวกับเทศกาลโคมไฟนั่นล่ะ แต่ที่นี่คือเทศกาล “วาเลนไทน์เวอร์ชั่นจีน” และปีนี้ก็ดันมาตรงกับเทศกาล “วาเลนไทน์ของฝรั่ง” พอดี โอ้ บร๊ะเจ้า ในอดีตแล้วเขาจะให้สาวพรหมจรรย์มาโยนผลส้มในทะเลเพื่อขอให้สมหวังในความรัก ซึ่งผมก็คาดว่า เหมือนงานโชว์ตัวของสาวๆ พอหนุ่มไหนสนใจก็ว่ายน้ำไปเก็บผลส้มมาให้ โคตรเท่เลย
แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไปเป็นผู้ชายโยนแล้วให้ผู้หญิงว่ายไปเก็บแทน เอ๊ย ไม่ใช่ กลายเป็นให้คนโสดโยนให้ลงตระกร้ากลางทะเล เขาจะมีหุ่นวาดรูปชาย หญิง ใครที่อยากได้เพศไหนมาเป็นคู่ครองก็ให้โยนผลส้มให้ลงตระกร้าของเพศนั้น ก็เป็นที่สนุกสนานมาก ผมไปถึงตลาดวายไม่เหลือส้มให้เล่นแล้ว นอกจากนี้บริเวณงานก็ยังมีอาหารมากมายมาออกร้านขายกัน ทั้งของคาวและหวาน ตั้งกันทั้งแทบบริเวณหน้าปีนังฮอลล์ ส่วนในสนามหญ้าก็มีเวทีโชว์ร้องเพลงด้วย ตรงหน้าเวทีนี่มีโต๊ะจีนวีไอพีด้วย พวกน้องๆ ก็พากันถ่ายรูปกันสนุกสนาน
เวลาผ่านล่วงเลยมาจนถึงช่วงเวลาที่ผู้ชมรอคอย พลุสวยๆ ถูกจุดขึ้นในกลางดึกปิดท้ายรายการ แม้ผมจะเคยเห็นพลุที่สวยกว่านี้มากในบ้านเรา แต่พอได้ยินเสียงชาวเมืองร้องโห่ด้วยความตื่นเต้น ก็แอบยิ้มตามไม่น้อย ก่อนจากกันผมได้ให้แผนที่สตรีทอาร์ตแก่น้องๆ ให้ไปเดินตามล่าหาอาร์ซีภาพศิลปะ เป็นของที่ระลึก และผมก็แยกย้ายสู่ฐานที่มั่น...
๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
เช้าวันสุดท้ายบนแผ่นดินเกาะหมาก ตามโปรแกรมเดิมรถตู้ที่จองกลับสู่หาดใหญ่จะมารับในเวลา ๐๘.๓๐ น. หลังจากเช็กเอ้าท์ ขนสัมภาระมาวางไว้ที่ล๊อบบี้แล้ว ก็ฝากของกับพนักงานต้อนรับและออกไปสำรวจเมืองครั้งสุดท้าย เดินไปเรื่อยๆ จนเจอร้านขายอาหารแถวๆ ถนน เลอเบอฮ์ ชูเลีย ไปด้อมๆ มองๆ เห็นก๋วยเตี๋ยวชนิดนึงที่ในไกด์บุ๊กเขาแนะนำ นั่นคือ “ชาร์ ฮอร์ ฟัน” (Char Hor Fun) ดูน่าสนใจเลยสั่งมา รอสักพักมันก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะ .... เอิ่ม นี่มันราดหน้าชัดๆ เส้นหมี่และเส้นใหญ่ถูกผัดผสมกัน ที่ต่างก็คือผัดคลุกไข่มาด้วย โปะด้วยหมูแดง กุ้ง มีผักคะน้า มีพริกน้ำส้มราดมาเลย และมีซอสคล้ายน้ำจิ้มสุกี้ใส่ในช้อนวางด้วยกัน เริ่มชิมทีละอย่าง เฮ้ย เส้นที่ถูกผัดมันได้รับการปรุงมาแล้วนิ มีรสหวานเค็มแอบคล้ายผัดซีอิ๊ว ส่วนน้ำราดหน้าจืดบรม ซอสเผ็ดพริกขี้หนูมาก แต่พอคลุกลงไปแล้วลงตัวอร่อยดี
นั่งแช่สักพักเหลือบไปเห็นรถขายแพนเค้ก ใจน่ะอยากกิน แต่รู้สึกอิ่มเพราะปกติไม่กินข้าวเช้า เลยขอบายเดินกลับมาที่พักเพื่อรอรถตู้ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน .... รถไม่มารับครับ อ้าว กู ซวยล่ะ ลุงพนักงานต้อนรับก็ทั้งออกไปเดินดู ทั้งโทรไปจี้ สรุปคือเขามาแล้ว แต่ไม่เห็นใครก็เลยขับไปเลย อ้าว... ลุงแกก็เลยมาถามว่า มันมีรถรอบ ๑๑ โมงได้ไหม ... แหม่... ลุง ถ้าผมไม่ไปแล้วผมจะได้กลับไปทันรถ บขส.เข้ากรุงเทพไหมล่ะนั่น ก็เลยต้องจำยอมตอบตกลงแบบเซ็งๆ
ว่าแล้วก็ต้องหาอะไรทำแก้เซ็งดีกว่าอยู่เฉยๆ ออกไปเดินเล่นน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
นี่ถือเป็นเรื่องนอกเหนือความคาดหมาย และอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้ผมได้เห็นวิถีในเช้าวันเสาร์ของคนแถวนี้ ผมมาหยุดอยู่ที่ซอยๆ หนึ่งที่ผมจำได้ว่า มายืนดูคอนเสิร์ตเจ๊หมวย แต่ทำไมตอนนี้คนคึกคักจังนะ .... ที่นี่คือ “ตลาดชาวจีนในซอยชอว์ราสต้า” ครับ ซึ่งจะมีของขายกันตั้งแต่หัวซ้ายยาวไปถึงซอยกัวลา กังซาร์ ที่อยู่ด้านหลัง จนถึงซอย เลเบอฮ์ แคมป์เบลล์ สินค้าที่นำมาขายก็มีทั้งผักสด เนื้อสัตว์ ผลไม้ เครื่องเทศ ขนม เสื้อผ้าอาภรณ์ และอื่นๆ อีกมากมาย ก็ดูคล้ายๆ ตลาดสดบ้านเรานั่นล่ะ
แต่ที่ผมสนใจคงหนีไม่พ้นเรื่องของกินแน่นอน แถวนี้มีร้านอาหารเยอะแยะให้ได้เลือกชิม ทั้งข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยว มีกับข้าวใส่ถุง บางอย่างก็คล้ายกับที่กินที่ท่าเรือตำมะลัง มีร้านขายหมูแผ่น ปาท่องโก๋ แล้วก็มีโซนที่เป็นโรงอาหารด้วย ที่นั่นก็มีติ่มซำ ขนมผักกาด ที่เรียกว่า กุ๋ยกาก (Kuih Kak) ฮกเกี้ยนหมี่ โลหมี่ กะหรี่หมี่ โอ้ย เยอะจัง ถึงเวลาต้องเลือกแล้วครับคุณดรงค์ ....
ผมเลือก “จาวาหมี่” (Java Mee) ครับ
ด้วยชื่อที่ดูล้ำยุค (เกี่ยวเหรอวะ) จึงทำให้ผมสนใจว่ามันคืออะไรกันแน่ เลยเดินเข้าไปสั่ง สิ่งที่ได้มาคือ บะหมี่ผสมกับเส้นหมี่ (ทำไมชอบผสมจัง) ผัดซอสพริกกับกุ้งสด โปะด้วยไข่ต้ม หอมเจียว และผักกาดหอม รสออกเผ็ดนิดๆ เปรี้ยว หวาน ก็อร่อยดีครับ ทานคู่กับกาแฟเย็น หรือโกปิ๊ไอ ก็อร่อยเลย นั่งแช่ให้อาหารย่อยสักพักก็มาเดินเที่ยวตลาดต่อ ที่รู้สึกแปลกคือ เห็นภิกษุแบบบ้านเรารูปหนึ่งมายืนจำหน่ายวัตถุมงคลที่อยู่ในบาตร ไม่มั่นใจว่าเป็นกิจของสงฆ์ที่นี่หรือไม่ หรือท่านอาจจะใช้วิธีนี้เผยแพร่ศาสนา อันนี้ไม่สามารถตอบแทนได้จริงๆ
วิถีการกินของผมยังไม่จบง่ายๆ เมื่อผมมาเจอลุงเชื้อสายจีนคนหนึ่งขายน้ำเต้าหู้ ผมไปด้อมๆ มองๆ เฮ้ยน่าสนใจ เขาเห็นหน้าผมแล้วก็พูดขึ้นมาว่า น้ำเต้าหู้หนึ่งริงกิต ผมผงะไปชั่วครู่ แล้วหันไปถามว่า ลุง คนไทยเหรอครับ ลุงแกบอกว่าไม่ใช่ เป็นคนปีนังแต่พูดไทยได้ เพราะคนไทยมาที่นี่เยอะ ทั้งมาซื้อของและขายของ ที่ขายก็มีพวกผลไม้ มาจากใต้ เขาจะมากันช่วงวันหยุด .... อืมมม์ ครับ
มองดูนาฬิกาบนมือถือ ก็ได้เวลาที่จะต้องกลับแล้วสินะ เสียดายมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ลอง โดยเฉพาะข้าวหมูแดง กะข้าวมันไก่เนี่ยล่ะ เมื่อถึงที่พักไม่นานนักรถตู้ก็มารับ นั่นก็หมายความว่า ผมต้องอำลาเมืองนี้แล้วสินะ ....
หวังว่าจะได้มาอีกครั้ง... ปีนัง
..........................................................................................................................................................................
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว แถมท้ายให้จบจริงๆ เสียเลยดีกว่า
.... การนั่งรถตู้กลับหาดใหญ่แต่แรกเริ่มมันไม่ได้อยู่ในแผนที่วางไว้เลย แต่ด้วยเหตุผมที่เคยเล่าไปแล้ว นี่คือทางเลือกสุดท้ายที่น่าจะถูก (แม้ไม่ที่สุด) กับราคา ๔๐๐ บาทเพื่อขนส่งตัวผมไปสู่แดนสยาม รถออกจากรัฐปีนังจริงๆ ก็ราวเที่ยงๆ ได้เพราะต้องวิ่งรับผู้โดยสารตามโรงแรมและจุดที่หมายต่างๆ บนรถมีคนไทย หนุ่มสาวฝรั่งพร้อมลูกน้อย และลุงสิงคโปร์ที่พูดไทยได้ แกเล่าว่า ชอบไปเที่ยวเมืองไทย ไปไหว้พระ ที่ไหนว่าศักดิ์สิทธิ์แกไปมาหมด ครั้งนี้ก็เช่นเคยไปหาพระอาจารย์ที่นับถือ ส่วนชาวเยอรมันนี้ เพิ่งมาเมืองไทยครั้งแรก ผมเห็นว่าระหว่างทางแกก็เปิดโน้ตบุ๊คจองโรงแรมผ่านอินเตอร์เน็ทอยู่ด้วยแหะ รถใช้เวลา ๔ ชั่วโมง พักจุดพักที่ไทรบุรี ๑ ครั้ง ก็ถึงที่หมาย
มีเรื่องตลกร้ายอย่างหนึ่งที่ผมเจอคือ ระหว่างเข้าจุดผ่านแดนไทย-มาเลย์ ที่สะเดา รถตู้ก็ไปจอดให้เราลงไปเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง คนขับเปิดประตูแล้วเก็บตังค์พวกเราคนละ ๑ ริงกิต หรือ ๑๐ บาท ผมกับฝรั่งงงกันมาก จ่ายค่าอะไร ทำไม เขาบอกว่าต้องจ่ายให้ด่านตรวจ แต่ระหว่างนั้นลุงสิงคโปร์ก็บอกกับฝรั่งที่ยืนงงว่า “เป็นเรื่องธรรมดาของประเทศนี้” .... เอิ่ม ?? ผมนี่จุกไปเลย ... (ในภายหลังมาทราบจากผู้สื่อข่าวศูนย์หาดใหญ่ว่าเป็นค่าล่วงเวลาของเจ้าหน้าที่ ซึ่งต้องถูกเก็บทุกคัน)
แต่ตอนเข้าเมืองผมก็เจอเรื่องตลกนะ น้า ตม.แกเปิดพาสปอร์ต เห็นสถานที่เกิด จ.ตาก แกก็ซักแหลกเลย มาจากที่ไหน ไปได้ยังไง แล้วจะไปไหน ผมก็เล่าให้ฟังตามที่แกอยากรู้ จนมาคลายสงสัยว่า แกเพิ่งเอาพม่าเข้าเมืองผิดกฏหมายไปส่งที่แม่สอดมา มีคนขนมาจากทางนั้น ก็เลยซักเยอะหน่อย ...
รถมาส่งผมถึงสถานีขนส่งหาดใหญ่ ผมจองรถทัวร์รอบดึกถึงเช้าไปลงสถานีขนส่งสายใต้ใหม่(ใหม่) นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้นั่งรถทัวร์จากใต้ขึ้นกรุงเทพฯ ว่าแต่ ยังเหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก จะทำอะไรดีล่ะ ... ต้องขอบคุณคุณกวาง เพื่อนที่ทำงานเก่าซึ่งกลับมาพำนักอยู่ในถิ่นกำเนิด และเพื่อน ที่ใจดีอุตส่าห์พาผมไปชมเมือง ให้ได้รู้สึกว่า หาดใหญ่มันไม่ได้น่ากลัวอย่างในข่าวนะ
คุณกวาง และเพื่อนขับรถพาผมไปเที่ยวตลาดน้ำแห่งแรกของภาคใต้ (ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ที่ชื่อ "ตลาดน้ำคลองแห" อยู่ท่าเรือวัดคลองแห ไม่ไกลจากเมืองเท่าไหร่ หาที่จอดยากสักนิด แต่ก็คุ้มค่าไม่น้อยเลย เราเดินเลียบวัดไปเรื่อยๆ มีของขายมากมาย มีจุดที่พระสงฆ์นั่งอาสนประพรมน้ำมนต์ให้แก่ชาวพุทธ พอพ้นจุดนั้นก็จะเจอสะพานข้ามคลอง มองจากมุมนี้เห็นเรือหลายลำจอดลอยอยู่ที่ท่าน้ำ พร้อมกับบรรยากาศตะวันตกดิน สวยงามมาก มีการแสดงดนตรีจากเด็กๆ และบรรดาอาหารมากมาย ด้านบนก็มีร้านค้าขายข้าว ขนม ของฝาก เสื้อผ้า เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด แต่สุดท้ายได้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดคลุกน้ำตาลอ้อยกลับบ้านไปฝากพ่อแม่ .... อร่อยจริงๆ ครับ ขอคอนเฟิร์ม!!
ขอบคุณทุกๆ ท่านที่ได้กล่าวมาในบทความทั้ง ๘ ตอน ขอบคุณแฟนเพจศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวเมืองปีนัง สำหรับคำตอบที่ผมได้ถามไป ขอบคุณเว็บไซต์การท่องเที่ยวมาเลเซีย วิกิพีเดีย และหลายเว็บไซต์ผ่านอากู๋ กูเกิ้ลที่ใช้ค้นหาข้อมูลทางวิชาการ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่ (ทน) อ่านจนจบ (ฮ่าๆๆๆ) รวมทั้งที่ติชม และที่นำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมผมก็น้อมรับเอาไว้ด้วยความยินดี หากมีความผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ผมหวังว่าจะได้มีโอกาสนำเรื่องราวจากมาเลเซีย มาเล่าให้ได้อ่านอีกครั้ง (แต่เมื่อไหร่ ที่ไหน ไม่รู้ ฮ่าๆๆ)
ส่วนการเดินทางครั้งต่อไปของผมจะอยู่ในแห่งหนตำบลใดนั้น อีกไม่นานคงกลับมาเล่าให้ได้อ่านกันแน่นอน ....
• ท่องมาเลย์ ๑: ได้เวลาออกเดินทาง!!
• ท่องมาเลย์ ๑.๒ : โอ้ ลังกาวี...
• ท่องมาเลย์ ๑.๓ : อลอร์สตาร์ บ้านมหาเธร์
• ท่องมาเลย์ ๑.๔ : เมืองหลวงรัฐไทรบุรี
• ท่องมาเลย์ ๑.๕: ชมวัดเก็กลกสี แล้วแลวิวที่เขาปีนัง
• ท่องมาเลย์ ๑.๖ : ชิมข้าวแกงร้านดัง เที่ยวปีนังมรดกโลก
• ท่องมาเลย์ ๑.๗ : เยือนวัดพม่า ล่าภาพศิลป์ปีนัง
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
ตอนนี้ผมยืนอยู่บนเขตของชาวพม่าและกำลังจะเดินข้ามเข้าสู่เขตแดนสยามครับ .... เอ่ยมาแบบนี้ท่านผู้ที่ไม่ได้อ่านมาตั้งแต่ต้นคงงง เฮ้ยนี่เอ็งอยู่มาเลย์แล้วไปโผล่เขตพม่าได้ยังไง ก็ต้องย้อนความกันสักนิดว่า ผมอยู่ที่เมืองปีนัง งวดที่แล้วผมพาไปเที่ยวในวัดธรรมมิการาม ของชาวพม่า และสถานที่ต่อไปที่ผมจะพาไปเที่ยวก็คือ วัดไทยที่ชื่อ "ไชยมังคลาราม"
วัดนี้ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๘ ซึ่งทางอังกฤษในนามของพระราชินีอลิซาเบซได้สร้างให้แก่ชุมชนชาวไทย เพื่อสัมพันธไมตรีทางการค้ากับสยาม ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธไสยาสน์ที่มีความยาวถึง ๑๐๘ ฟุต เป็นพระประธาน ซึ่งสร้างขึ้นในปี ๒๕๐๐ และต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประพาสและทรงเยี่ยมชมวัดพร้อมพระราชทานนามว่า พระพุทธชัยมงคล เมื่อปี ๒๕๐๕
ผมเดินผ่านซุ้มประตูที่ดูเหมือนกับวัดในไทยทั่วไปเข้ามาภายใน ก็ได้เห็นศาสนสถานต่างๆ ที่ไม่ต่างกับบ้านเรานัก ทั้งวิหาร ศาลา เจดีย์ แต่โบสถ์นี่ดูภายนอกคล้ายกับเป็นโรงอะไรสักอย่าง คือไม่คุ้นตาอย่างแรง ด้านนอกมีประตูทางเข้า ๓ ประตู ประตูด้านซ้ายมือมีพญานาค ๒ ตัวนอนยาวเหยียดนำทางสู่โบสถ์ ส่วนด้านขวามือจะเป็นมังกรแบบจีน ประตูตรงกลางมียักษ์ ๒ ตน และกินรี ยืนอยู่หน้าประตู ผมเดินไปถึงหน้าโบสถ์แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ ... ไม่ใช่ว่าเข้าวัดแล้วร้อน แต่ประตูมันปิดอยู่ต่างหาก หมายความว่า ผมมาสายเกินไป ...
ว่าแต่ วันนี้ “มาฆบูชา” จะมีเวียนเทียนไหม จะเวียนกันกี่โมง หรือว่าจะมาแล้วเสียเที่ยวล่ะเนี่ย ระหว่างนั้นก็เดินไปไหว้พระในวิหารที่เปิดอยู่ พลางมองดูก็เห็นคนเข้ามาในวัด รวมทั้งชาวมุสลิมด้วย ผมพยายามสังเกตุว่าใช่คนไทยหรือไม่ เผื่อว่าจะได้เข้าไปถามถึงเวลาที่พิธีจะเริ่ม แต่กลับไม่พบ นั่งเล่นอยู่สักพักก็เจอผู้สูงวัยแต่งตัวคล้ายๆ คนบ้านเราเดินเข้าไปในโรงด้านหน้าวัดที่ดูคล้ายกับสถานศึกษา เลยเดินตามเข้าไป แล้วลองถามเป็นภาษาไทยว่า ป้าครับเขาเวียนเทียนกันกี่โมงครับ แกหันมาแล้วดูท่าตกใจนิดๆ (ไม่แน่ใจว่าแกตกใจในสภาพหน้าตาผมหรือเปล่า) แล้วแกก็ยิ้มและบอกว่า สักทุ่มนึงได้หนู เข้ามาข้างในก่อน กินข้าวหรือยัง
โอ้... เจอคนไทยแล้ว
ผมเลยขอตัวบอกงั้นเดี๋ยวกลับมาใหม่ อันที่จริงคือผมไม่รู้ว่าจะอยู่ทำอะไร ก็เลยออกเดินสำรวจแถวๆ นี้ดีกว่า เผื่อจะเจอห้างให้ผมนั่งเล่นบ้าง แถวนี้เขาว่าเป็นย่านคนรวยครับ มีตึกสูง บ้านทรงฝรั่งสมัยใหม่อยู่ด้วย กำลังเดินๆ ไปก็มีมอเตอร์ไซด์ขับมาเลียบๆ เคียงๆ ดูเป็นวัยรุ่นผู้ชายขับผู้หญิงซ้อนท้าย คนซ้อนตะโกนถามผมว่า พี่คนไทยหรือเปล่า เราก็รีบตอบว่าใช่ เขาก็ดูท่าดีใจ ก่อนคุยกันสักพัก ได้ความว่าน้องมาเรียนที่นี่แล้วได้แฟนเป็นชาวมาเลย์ ส่วนผมก็ได้เรื่องว่าถ้าเดินไปอีกไม่ไกลจากนี้มากนักก็จะเจอเกอร์นี่ย์ ไดรฟ์ ย่านอาหารข้างทางที่ผมอยากไปแต่ไม่ได้ไปเมื่อวานนี้ เราสนทนากันสักพักก่อนแยกย้ายและเธอก็ชี้ทางให้ผมไปห้างที่ใกล้ที่สุด ที่ชื่อ เกอร์นี่ย์ พารากอน
ห้างนี้ใหญ่โตและดูหรูหราเหมือนกัน ตอนแรกว่าจะหาอะไรกินสักพัก แต่ก็กลัวจะกลับไม่ทันพิธี เลยได้แค่ตากแอร์กลับมาที่วัด ซึ่งเมื่อมาถึงก็เริ่มมีชาวบ้านมานั่งรอในโบสถ์กันบ้างแล้ว ผมก็ถือโอกาสสำรวจอุโบสถเลยล่ะกัน ฝาผนังด้านบนประดับด้วยรูปเทพนม ด้านข้างและด้านหลังองค์พระ มีพระพุทธรูป พระเกจิ และ พระโพธิสัตว์ เรียงราย และมีช่องสถูปบริเวณผนังและใต้ฐานพระนอนด้วย
ผมก็นั่งรอพลางสอบถามคุณป้าวันเพ็ญ อุปัฏฐายิกาของวัด ได้ความว่า ที่นี่ถือเป็นศูนย์รวยจิตใจของชาวสยาม ทั้งที่อยู่มาตั้งแต่เป็นเกาะหมาก ผู้พลัดถิ่น และนักศึกษา เวลามีงานสำคัญทางศาสนาคนเหล่านี้ก็จะกลับมากัน เล่าสารทุกข์สุขดิบ นอกจากนี้ก็ยังมีชาวมาเลย์ และจีน ที่นับถือพุทธแบบไทยก็จะมาทำพิธีด้วย แต่ก่อนย่านนี้ถือเป็นแหล่งชุมชนชาวสยามที่ใหญ่มาก แต่กาลเวลาผ่านไปก็ทำให้ขนาดของชุมชนเล็กลง คนไทยที่แต่งงานกับชาวมาเลย์ก็อพยพถิ่นฐาน บางคนก็กลายเป็นชาวท้องถิ่น แกบอกว่า ตอนนี้เหลือคนเก่าแก่ที่สุดอยู่ ๒ คน คน ๑ คือปู่วัย ๙๐ เป็นชาวสยามในปีนังแท้ๆ ส่วนอีกคนคือบุตรของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรกของสยาม หลังลี้ภัยทางการเมืองตามพ่อมา ซึ่งพระยามโนฯ ก็ได้อสัญกรรมที่นี่ด้วย
เมื่อใกล้เวลาพิธีฝูงชนก็เริ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษาที่มาเรียนที่นี่มากันเยอะเลยทีเดียว มีคุณจงเจริญ เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองกงสุลใหญ่เมืองปีนัง เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธี ความรู้สึกตอนนี้เหมือนผมอยู่ในวัดสักที่ที่ไทย บรรยากาศคุ้นเคยแต่จะไม่คุ้นก็ตรงที่เวียนกันภายในโบสถ์เนี่ยล่ะ
ร่วมพิธีจนเสร็จสรรพชะแว่บคุยกับนักศึกษาที่นั่นถามความเป็นอยู่ตามเรื่องราว ก่อนกลับที่พัก คุณป้าวันเพ็ญ ก็แนะนำว่าที่ย่านเอสพละนาถ หรือปีนังฮออล์ เขามีจัดงานวันวาเลนไทน์กัน เราก็สงสัย พลางนึกภาพเมื่อเช้าที่เราเดินผ่านเห็นหุ่นตามปีนักษัตร ป้าเขาบอกว่า แต่ละปีจะมีเทศกาลโยนผลส้มหาคู่ให้ลองนั่งรถไปเที่ยวเล่นดู ผมจึงถามน้องนักศึกษาที่สนใจ สรุปได้เพื่อนร่วมขบวนมา ๓ คน เป็นชาวฮ่องกงอีก ๑ ราย ว่าแต่ น้องเขามาเรียนอะไร? ...... ปีนังเป็นเมือง ๑ ที่คนไทยนิยมมาเรียนภาษาอังกฤษกันครับ เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่าประเทศอื่น ทั้งค่าเรียน ที่พัก อาหาร แถมคนในเมืองก็พูดอังกฤษกันมากเสียด้วย
ผมให้น้องๆ ไปกันก่อน เพราะต้องกลับไปชาร์ตแบตกล้องถ่ายรูปในที่พัก เมื่อได้ที่สักพัก ก็กลับไปย่านที่จัดงาน อันที่จริงแล้ว มันเป็น “เทศกาลจั๊บ โก๋ เหม่” (Chap Goh Meh) ของชาวจีนฮกเกี๊ยน ที่จัดขึ้นหลังวันตรุษ ๑๕ วัน ถ้าเข้าใจไม่ผิดมันก็คือวันเดียวกับเทศกาลโคมไฟนั่นล่ะ แต่ที่นี่คือเทศกาล “วาเลนไทน์เวอร์ชั่นจีน” และปีนี้ก็ดันมาตรงกับเทศกาล “วาเลนไทน์ของฝรั่ง” พอดี โอ้ บร๊ะเจ้า ในอดีตแล้วเขาจะให้สาวพรหมจรรย์มาโยนผลส้มในทะเลเพื่อขอให้สมหวังในความรัก ซึ่งผมก็คาดว่า เหมือนงานโชว์ตัวของสาวๆ พอหนุ่มไหนสนใจก็ว่ายน้ำไปเก็บผลส้มมาให้ โคตรเท่เลย
แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไปเป็นผู้ชายโยนแล้วให้ผู้หญิงว่ายไปเก็บแทน เอ๊ย ไม่ใช่ กลายเป็นให้คนโสดโยนให้ลงตระกร้ากลางทะเล เขาจะมีหุ่นวาดรูปชาย หญิง ใครที่อยากได้เพศไหนมาเป็นคู่ครองก็ให้โยนผลส้มให้ลงตระกร้าของเพศนั้น ก็เป็นที่สนุกสนานมาก ผมไปถึงตลาดวายไม่เหลือส้มให้เล่นแล้ว นอกจากนี้บริเวณงานก็ยังมีอาหารมากมายมาออกร้านขายกัน ทั้งของคาวและหวาน ตั้งกันทั้งแทบบริเวณหน้าปีนังฮอลล์ ส่วนในสนามหญ้าก็มีเวทีโชว์ร้องเพลงด้วย ตรงหน้าเวทีนี่มีโต๊ะจีนวีไอพีด้วย พวกน้องๆ ก็พากันถ่ายรูปกันสนุกสนาน
เวลาผ่านล่วงเลยมาจนถึงช่วงเวลาที่ผู้ชมรอคอย พลุสวยๆ ถูกจุดขึ้นในกลางดึกปิดท้ายรายการ แม้ผมจะเคยเห็นพลุที่สวยกว่านี้มากในบ้านเรา แต่พอได้ยินเสียงชาวเมืองร้องโห่ด้วยความตื่นเต้น ก็แอบยิ้มตามไม่น้อย ก่อนจากกันผมได้ให้แผนที่สตรีทอาร์ตแก่น้องๆ ให้ไปเดินตามล่าหาอาร์ซีภาพศิลปะ เป็นของที่ระลึก และผมก็แยกย้ายสู่ฐานที่มั่น...
๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
เช้าวันสุดท้ายบนแผ่นดินเกาะหมาก ตามโปรแกรมเดิมรถตู้ที่จองกลับสู่หาดใหญ่จะมารับในเวลา ๐๘.๓๐ น. หลังจากเช็กเอ้าท์ ขนสัมภาระมาวางไว้ที่ล๊อบบี้แล้ว ก็ฝากของกับพนักงานต้อนรับและออกไปสำรวจเมืองครั้งสุดท้าย เดินไปเรื่อยๆ จนเจอร้านขายอาหารแถวๆ ถนน เลอเบอฮ์ ชูเลีย ไปด้อมๆ มองๆ เห็นก๋วยเตี๋ยวชนิดนึงที่ในไกด์บุ๊กเขาแนะนำ นั่นคือ “ชาร์ ฮอร์ ฟัน” (Char Hor Fun) ดูน่าสนใจเลยสั่งมา รอสักพักมันก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะ .... เอิ่ม นี่มันราดหน้าชัดๆ เส้นหมี่และเส้นใหญ่ถูกผัดผสมกัน ที่ต่างก็คือผัดคลุกไข่มาด้วย โปะด้วยหมูแดง กุ้ง มีผักคะน้า มีพริกน้ำส้มราดมาเลย และมีซอสคล้ายน้ำจิ้มสุกี้ใส่ในช้อนวางด้วยกัน เริ่มชิมทีละอย่าง เฮ้ย เส้นที่ถูกผัดมันได้รับการปรุงมาแล้วนิ มีรสหวานเค็มแอบคล้ายผัดซีอิ๊ว ส่วนน้ำราดหน้าจืดบรม ซอสเผ็ดพริกขี้หนูมาก แต่พอคลุกลงไปแล้วลงตัวอร่อยดี
นั่งแช่สักพักเหลือบไปเห็นรถขายแพนเค้ก ใจน่ะอยากกิน แต่รู้สึกอิ่มเพราะปกติไม่กินข้าวเช้า เลยขอบายเดินกลับมาที่พักเพื่อรอรถตู้ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน .... รถไม่มารับครับ อ้าว กู ซวยล่ะ ลุงพนักงานต้อนรับก็ทั้งออกไปเดินดู ทั้งโทรไปจี้ สรุปคือเขามาแล้ว แต่ไม่เห็นใครก็เลยขับไปเลย อ้าว... ลุงแกก็เลยมาถามว่า มันมีรถรอบ ๑๑ โมงได้ไหม ... แหม่... ลุง ถ้าผมไม่ไปแล้วผมจะได้กลับไปทันรถ บขส.เข้ากรุงเทพไหมล่ะนั่น ก็เลยต้องจำยอมตอบตกลงแบบเซ็งๆ
ว่าแล้วก็ต้องหาอะไรทำแก้เซ็งดีกว่าอยู่เฉยๆ ออกไปเดินเล่นน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
นี่ถือเป็นเรื่องนอกเหนือความคาดหมาย และอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้ผมได้เห็นวิถีในเช้าวันเสาร์ของคนแถวนี้ ผมมาหยุดอยู่ที่ซอยๆ หนึ่งที่ผมจำได้ว่า มายืนดูคอนเสิร์ตเจ๊หมวย แต่ทำไมตอนนี้คนคึกคักจังนะ .... ที่นี่คือ “ตลาดชาวจีนในซอยชอว์ราสต้า” ครับ ซึ่งจะมีของขายกันตั้งแต่หัวซ้ายยาวไปถึงซอยกัวลา กังซาร์ ที่อยู่ด้านหลัง จนถึงซอย เลเบอฮ์ แคมป์เบลล์ สินค้าที่นำมาขายก็มีทั้งผักสด เนื้อสัตว์ ผลไม้ เครื่องเทศ ขนม เสื้อผ้าอาภรณ์ และอื่นๆ อีกมากมาย ก็ดูคล้ายๆ ตลาดสดบ้านเรานั่นล่ะ
แต่ที่ผมสนใจคงหนีไม่พ้นเรื่องของกินแน่นอน แถวนี้มีร้านอาหารเยอะแยะให้ได้เลือกชิม ทั้งข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยว มีกับข้าวใส่ถุง บางอย่างก็คล้ายกับที่กินที่ท่าเรือตำมะลัง มีร้านขายหมูแผ่น ปาท่องโก๋ แล้วก็มีโซนที่เป็นโรงอาหารด้วย ที่นั่นก็มีติ่มซำ ขนมผักกาด ที่เรียกว่า กุ๋ยกาก (Kuih Kak) ฮกเกี้ยนหมี่ โลหมี่ กะหรี่หมี่ โอ้ย เยอะจัง ถึงเวลาต้องเลือกแล้วครับคุณดรงค์ ....
ผมเลือก “จาวาหมี่” (Java Mee) ครับ
ด้วยชื่อที่ดูล้ำยุค (เกี่ยวเหรอวะ) จึงทำให้ผมสนใจว่ามันคืออะไรกันแน่ เลยเดินเข้าไปสั่ง สิ่งที่ได้มาคือ บะหมี่ผสมกับเส้นหมี่ (ทำไมชอบผสมจัง) ผัดซอสพริกกับกุ้งสด โปะด้วยไข่ต้ม หอมเจียว และผักกาดหอม รสออกเผ็ดนิดๆ เปรี้ยว หวาน ก็อร่อยดีครับ ทานคู่กับกาแฟเย็น หรือโกปิ๊ไอ ก็อร่อยเลย นั่งแช่ให้อาหารย่อยสักพักก็มาเดินเที่ยวตลาดต่อ ที่รู้สึกแปลกคือ เห็นภิกษุแบบบ้านเรารูปหนึ่งมายืนจำหน่ายวัตถุมงคลที่อยู่ในบาตร ไม่มั่นใจว่าเป็นกิจของสงฆ์ที่นี่หรือไม่ หรือท่านอาจจะใช้วิธีนี้เผยแพร่ศาสนา อันนี้ไม่สามารถตอบแทนได้จริงๆ
วิถีการกินของผมยังไม่จบง่ายๆ เมื่อผมมาเจอลุงเชื้อสายจีนคนหนึ่งขายน้ำเต้าหู้ ผมไปด้อมๆ มองๆ เฮ้ยน่าสนใจ เขาเห็นหน้าผมแล้วก็พูดขึ้นมาว่า น้ำเต้าหู้หนึ่งริงกิต ผมผงะไปชั่วครู่ แล้วหันไปถามว่า ลุง คนไทยเหรอครับ ลุงแกบอกว่าไม่ใช่ เป็นคนปีนังแต่พูดไทยได้ เพราะคนไทยมาที่นี่เยอะ ทั้งมาซื้อของและขายของ ที่ขายก็มีพวกผลไม้ มาจากใต้ เขาจะมากันช่วงวันหยุด .... อืมมม์ ครับ
มองดูนาฬิกาบนมือถือ ก็ได้เวลาที่จะต้องกลับแล้วสินะ เสียดายมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ลอง โดยเฉพาะข้าวหมูแดง กะข้าวมันไก่เนี่ยล่ะ เมื่อถึงที่พักไม่นานนักรถตู้ก็มารับ นั่นก็หมายความว่า ผมต้องอำลาเมืองนี้แล้วสินะ ....
หวังว่าจะได้มาอีกครั้ง... ปีนัง
..........................................................................................................................................................................
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว แถมท้ายให้จบจริงๆ เสียเลยดีกว่า
.... การนั่งรถตู้กลับหาดใหญ่แต่แรกเริ่มมันไม่ได้อยู่ในแผนที่วางไว้เลย แต่ด้วยเหตุผมที่เคยเล่าไปแล้ว นี่คือทางเลือกสุดท้ายที่น่าจะถูก (แม้ไม่ที่สุด) กับราคา ๔๐๐ บาทเพื่อขนส่งตัวผมไปสู่แดนสยาม รถออกจากรัฐปีนังจริงๆ ก็ราวเที่ยงๆ ได้เพราะต้องวิ่งรับผู้โดยสารตามโรงแรมและจุดที่หมายต่างๆ บนรถมีคนไทย หนุ่มสาวฝรั่งพร้อมลูกน้อย และลุงสิงคโปร์ที่พูดไทยได้ แกเล่าว่า ชอบไปเที่ยวเมืองไทย ไปไหว้พระ ที่ไหนว่าศักดิ์สิทธิ์แกไปมาหมด ครั้งนี้ก็เช่นเคยไปหาพระอาจารย์ที่นับถือ ส่วนชาวเยอรมันนี้ เพิ่งมาเมืองไทยครั้งแรก ผมเห็นว่าระหว่างทางแกก็เปิดโน้ตบุ๊คจองโรงแรมผ่านอินเตอร์เน็ทอยู่ด้วยแหะ รถใช้เวลา ๔ ชั่วโมง พักจุดพักที่ไทรบุรี ๑ ครั้ง ก็ถึงที่หมาย
มีเรื่องตลกร้ายอย่างหนึ่งที่ผมเจอคือ ระหว่างเข้าจุดผ่านแดนไทย-มาเลย์ ที่สะเดา รถตู้ก็ไปจอดให้เราลงไปเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง คนขับเปิดประตูแล้วเก็บตังค์พวกเราคนละ ๑ ริงกิต หรือ ๑๐ บาท ผมกับฝรั่งงงกันมาก จ่ายค่าอะไร ทำไม เขาบอกว่าต้องจ่ายให้ด่านตรวจ แต่ระหว่างนั้นลุงสิงคโปร์ก็บอกกับฝรั่งที่ยืนงงว่า “เป็นเรื่องธรรมดาของประเทศนี้” .... เอิ่ม ?? ผมนี่จุกไปเลย ... (ในภายหลังมาทราบจากผู้สื่อข่าวศูนย์หาดใหญ่ว่าเป็นค่าล่วงเวลาของเจ้าหน้าที่ ซึ่งต้องถูกเก็บทุกคัน)
แต่ตอนเข้าเมืองผมก็เจอเรื่องตลกนะ น้า ตม.แกเปิดพาสปอร์ต เห็นสถานที่เกิด จ.ตาก แกก็ซักแหลกเลย มาจากที่ไหน ไปได้ยังไง แล้วจะไปไหน ผมก็เล่าให้ฟังตามที่แกอยากรู้ จนมาคลายสงสัยว่า แกเพิ่งเอาพม่าเข้าเมืองผิดกฏหมายไปส่งที่แม่สอดมา มีคนขนมาจากทางนั้น ก็เลยซักเยอะหน่อย ...
รถมาส่งผมถึงสถานีขนส่งหาดใหญ่ ผมจองรถทัวร์รอบดึกถึงเช้าไปลงสถานีขนส่งสายใต้ใหม่(ใหม่) นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้นั่งรถทัวร์จากใต้ขึ้นกรุงเทพฯ ว่าแต่ ยังเหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก จะทำอะไรดีล่ะ ... ต้องขอบคุณคุณกวาง เพื่อนที่ทำงานเก่าซึ่งกลับมาพำนักอยู่ในถิ่นกำเนิด และเพื่อน ที่ใจดีอุตส่าห์พาผมไปชมเมือง ให้ได้รู้สึกว่า หาดใหญ่มันไม่ได้น่ากลัวอย่างในข่าวนะ
คุณกวาง และเพื่อนขับรถพาผมไปเที่ยวตลาดน้ำแห่งแรกของภาคใต้ (ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ที่ชื่อ "ตลาดน้ำคลองแห" อยู่ท่าเรือวัดคลองแห ไม่ไกลจากเมืองเท่าไหร่ หาที่จอดยากสักนิด แต่ก็คุ้มค่าไม่น้อยเลย เราเดินเลียบวัดไปเรื่อยๆ มีของขายมากมาย มีจุดที่พระสงฆ์นั่งอาสนประพรมน้ำมนต์ให้แก่ชาวพุทธ พอพ้นจุดนั้นก็จะเจอสะพานข้ามคลอง มองจากมุมนี้เห็นเรือหลายลำจอดลอยอยู่ที่ท่าน้ำ พร้อมกับบรรยากาศตะวันตกดิน สวยงามมาก มีการแสดงดนตรีจากเด็กๆ และบรรดาอาหารมากมาย ด้านบนก็มีร้านค้าขายข้าว ขนม ของฝาก เสื้อผ้า เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด แต่สุดท้ายได้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดคลุกน้ำตาลอ้อยกลับบ้านไปฝากพ่อแม่ .... อร่อยจริงๆ ครับ ขอคอนเฟิร์ม!!
ขอบคุณทุกๆ ท่านที่ได้กล่าวมาในบทความทั้ง ๘ ตอน ขอบคุณแฟนเพจศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวเมืองปีนัง สำหรับคำตอบที่ผมได้ถามไป ขอบคุณเว็บไซต์การท่องเที่ยวมาเลเซีย วิกิพีเดีย และหลายเว็บไซต์ผ่านอากู๋ กูเกิ้ลที่ใช้ค้นหาข้อมูลทางวิชาการ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่ (ทน) อ่านจนจบ (ฮ่าๆๆๆ) รวมทั้งที่ติชม และที่นำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมผมก็น้อมรับเอาไว้ด้วยความยินดี หากมีความผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ผมหวังว่าจะได้มีโอกาสนำเรื่องราวจากมาเลเซีย มาเล่าให้ได้อ่านอีกครั้ง (แต่เมื่อไหร่ ที่ไหน ไม่รู้ ฮ่าๆๆ)
ส่วนการเดินทางครั้งต่อไปของผมจะอยู่ในแห่งหนตำบลใดนั้น อีกไม่นานคงกลับมาเล่าให้ได้อ่านกันแน่นอน ....