xs
xsm
sm
md
lg

ปัญหาหลังขโมยไก่ไม่สำเร็จของขบวนการทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

น่าประหลาดดีแท้ที่คนเสื้อแดงไชโยโห่ร้องประกาศชัยชนะหลังจากฟังผลศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเนื้อหาคำตัดสินมีผลโดยตรงต่อยุทธศาสตร์อำนาจของทักษิณ ชินวัตรและเครือข่ายขบวนการของเขา

ภาษิตจีนบอกว่า “ขโมยไก่ไม่สำเร็จ ขาดทุนข้าวสารไปกำมือ” การสะดุดกึกหัวทิ่มรอบแล้วรอบเล่านับจากพรบ.ปรองดอง และมาที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าข่ายภาษิตนี้โดยตรงเพราะนี่เป็นการขาดทุน หาใช่กำไรอย่างที่ชาวเสื้อแดงลานพระรูปไชโยโห่ร้องแต่อย่างใด

ปมปัญหาที่ต้องคิดหนักไม่ใช่จะทำประชามติชนะหรือไม่ เพราะหากมีการกระตุ้นอารมณ์ปลุกมวลชนแดงออกมากาบัตรภายใต้อำนาจรัฐที่ตนคุมอยู่ยังไงเสียโอกาสชนะก็มี แต่นี่เป็นแค่ปัญหากลยุทธ์ที่ขัดแย้งกับปัญหาเชิงยุทธศาสตร์

หากทำประชามติ ก็เท่ากับยอมรับคำตัดสินของศาล กลืนน้ำลายที่พวกตนเคยประกาศไม่ยอมรับ ขัดแย้งกับการเปิดสภาอภิปรายเพื่อยืนยันอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเท่ากับขัดแย้งกับ “หลัก” ที่ฝ่ายตนประกาศไว้ล่วงหน้า

แต่หากเดินหน้าลงมติวาระสามตามแรงยุขอนิติราษฎร์ - จาตุรนต์ โอกาสที่จะนำไปสู่ภาวะควบคุมไม่ได้ทางการเมืองจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บังคับให้เงื่อนไขยุบสภาก่อนกำหนดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหาของทักษิณและขบวนการของเขาไม่ใช่การประคับประคองอำนาจให้กับรัฐนาวายิ่งลักษณ์ เพราะสามารถจะตี๊ดชึ่งขยับขุนหนีไปเรื่อยๆ ลอยตัว หนีประชุม ไปตามประสาแล้วก็ปรับครม. เอามือเก๋ามาประคองไปกันต่อ

ปัญหาที่แท้จริงคือปัญหายุทธศาสตร์ศึก ดังที่ธิดา นปช.เคยใช้ภาษาคอมมิวนิสต์เก่าเรียกว่า “ขั้นยัน” นั่นแหละ ปกติของการทำสงครามต่างฝ่ายต่างยันกันศึกก็ยืดเยื้อไปเรื่อยๆ ไม่มีโอกาสเผด็จศึกเสียที ผู้บัญชาการศึกที่เก่งกาจต้องกำหนดยุทธศาสตร์ศึกให้ถูกต้องเสียก่อน ส่วนสงครามย่อยๆ ตามสมรภุมิต่างๆ เป็นแค่ยุทธวิธี

เมื่อ 3 เดือนก่อนประมาณพฤษภาคมที่ผ่านมาตอนที่เริ่มกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ ส.ว.คำนูณ สิทธิสมาน โพสต์ความเห็นในเฟซบุ้คทำนองว่าฝ่ายทักษิณกำลังเดินยุทธศาสตร์ 2 ขาโอบ หรือ 2 คีมโอบ ผมตีความได้ว่า การเคลื่อนไหว 2 ทางประสานกันของขบวนการทักษิณมีเป้าหมายเพื่อพลิกจากสงครามขั้นยันมาสู่ขั้นรุกเพื่อเผด็จศึกเต็มตัว

ผมขอนำชุดความคิดการเคลื่อนไหว 2 ทางดังกล่าวของส.ว.คำนูณ มาปรับปรุงเพิ่มเติมถ้อยคำให้เข้าใจง่ายขึ้น ว่าการประเมินสถานการณ์ในเวลานั้น จำลองภาพ( Scenario) แบบสุดขั้วของยุทธศาสตร์เผด็จศึกการเมืองจากขั้นยัน สู่ขั้นรุกที่ทักษิณคิดทำในตอนนั้นแต่ดันมาสะดุดกึกนำมาสู่ปัญหาการกำหนดยุทธศาสตร์การเมืองในชั้นต่อไป

ขอย้ำว่านี่เป็นภาพจำลองสถานการณ์เมื่อ 3 เดือนก่อนที่ปัจุบันเปลี่ยนแปรไปแล้ว นอกจากขโมยไก่ไม่สำเร็จยังขาดทุนข้าวสารไปกำมือ และต้องมาจับตากันต่อว่า ก้าวย่างจากนี้ทักษิณและขบวนการของเขาจะเลือกเดินอย่างไรหากต้องการเป็นฝ่ายชนะศึกเผด็จอำนาจได้ชัยชนะจากขั้นยันสู่ขั้นรุกแท้จริง

..................................

*ยุทธศาสตร์ทัพที่แท้จริงของทักษิณ “แนวรบ 2 คีมโอบ” เพื่อปฏิรูปถอยหลังดังนั้นการเคลื่อนไหวในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาจึงไม่ใช่เกมช่วงชิงอำนาจเฉยๆ แต่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการเตรียมเผด็จศึก มีผลต่อการกำหนดทิศทาง หันหางเสือ นำประเทศไปสู่ทิศทางใดผ่านการดำเนินการ 2 คีมโอบพร้อมๆ กันคือ

1.เผด็จอำนาจรัฐ ต่อยอดการปฏิรูประบบราชการสู่ อำนาจรวมศูนย์เด็ดขาด (Super centralization) ผ่านการแก้รัฐธรรมนูญ ปลดพันธนาการตรวจสอบถ่วงดุล

2.เปลี่ยนนยบ.การเงินการคลังประเทศสู่ปรัชญาทุนเสรี(+ฉ้อฉล)โลกาภิวัฒน์ เปิดประเทศรองรับทุนโลก ยึดแบงก์ชาติ เอาเงินเก็บมาใช้เสมือนพิมพ์ธนบัตรใหม่เอง

อธิบายความ

1.แนวรบที่หนึ่ง-เผด็จอำนาจรัฐ

การแก้รัฐธรรมนูญโดย สสร.3 จำนวน 99 คน จะมีคนของตนเองที่กดปุ่มสั่งการได้ 70-75 % ภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย เนื้อแท้คือ ดึงอำนาจนิติบัญญัติไปจากรัฐสภา (ฝ่ายค้าน+ส.ว.) เป้าหมายคือ การปกครองแบบฝ่ายบริหารเข้มแข็งสุด (Super Strong Executive) ยิ่งกว่าเมื่อครั้งรัฐธรรมนูญปี 2540 เพราะรอบนี้แนวโน้มนอกจากปลดพันธนาการจากกลไกตรวจสอบถ่วงดุล และองค์อิสระแล้ว มีแนวโน้มจะเล่นงาน “อำนาจตุลาการ” ด้วยการสร้างกลไกตรวจสอบอำนาจตุลาการขึ้นมาใหม่

ทักษิณเป็นคนชมชอบการบริหารแบบรวมศูนย์อำนาจเป็นพื้นฐานมาก่อน การปฏิรูประบบราชการ2545 การควบรวมพรรค การไม่ให้ฝ่ายค้านมีเสียงเพียงพอจะยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ระบบผู้ว่าซีอีโอ(รวมศูนย์อำนาจทุกหน่วยในพื้นที่ผ่านผู้ว่าฯขึ้นตรงส่วนกลาง) ฯลฯ ล้วนแต่เป็นนโยบายเพื่อรองรับอำนาจรวมศูนย์

อำนาจรัฐรวมศูนย์เด็ดขาด (Super Centralization) เป็นปฏิปักษ์ต่อแนวทางกระจายอำนาจ ประชาชนมีสิทธิในพื้นที่และทรัพยากร (ตามรัฐธรรมนูญ ม.66-67) แต่จะเอื้อต่อ อำนาจทุน+นักการเมืองใหญ่ส่วนกลาง เข้าฮุบทรัพยากร (เช่นโปแตชอีสาน/ ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ไล่ที่ประมงชายฝั่งขนาดเล็ก/ ตลอดถึงเมกะโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ลงในพื้นที่) ซึ่งรัฐธรรมนูญใหม่จะทำให้อำนาจส่วนกลางเข็มแข็งขึ้น ไม่รับรองสิทธิของท้องถิ่นและการกระจายอำนาจที่เขียนไว้เดิม เพิ่มอำนาจทุน เปิดช่องการลงทุนขนาดใหญ่และเมกกะโปรเจ็กต์ทั้งปวง

แนวคิดการเอาคืนอำนาจตุลาการ มีมาในหมู่แกนนำเพื่อไทยและบ้านเลขที่ 111 มาก่อนแล้ว การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้จะมีบทบัญญัติเพิ่มกลไกถ่วงอำนาจตุลาการเพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษอีกด้วย

2. แนวรบที่สอง-ยึดแบงก์ชาติ-เปลี่ยนฐานนโยบายสู่ทุนฉ้อฉลโลกาภิวัตน์

ปากทำเป็นชื่นชมปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่แนวทางที่ดำเนินตลอดกลับสวนทาง ดังจะเห็นจากโครงการนโยบายประชานิยมต่างๆ โดยเฉพาะเอาเงินเก็บจากคลังหลวง - กองทุนสำรองระหว่างประเทศ มาใช้

ดร.โกร่ง เกิด พ.ศ. 2486 อีกปีกว่าๆ อายุจะครบ 70 นั่งในตำแหน่งประธานบอร์ดไม่นานก็จะหมดวาระตามเงื่อนไขอายุ คำถามคือ ทำไมต้อง ดร.โกร่ง !!??

คำตอบชัดเจน คือสานต่อนโยบายเอาเงินเก็บมาใช้ โดยเฉพาะเงินสำรองระหว่างประเทศ ตามที่มีอดีตรัฐมนตรี (พิชัย) เลยทำปืนลั่นหลุดปากไว้

มองอีกด้านหนึ่งเพื่อให้ความเป็นธรรมกับ ดร.โกร่ง - เขามีแนวคิดแบบนักเศรษฐศาสตร์ใจกล้า ประเภทกล้าทำกล้าเสี่ยง (เพราะไม่ใช่เงินตัวเอง) เอาเงินที่ไม่ใช้ประโยชน์อะไรมาหมุน มาลงทุนเพื่อจะเป็นฐานให้เกิดการลงทุนจากภายนอกต่อและเกิดรายได้เพิ่มในอนาคต

แนวคิด (หรือทฤษฎี) ดังกล่าวเป็นแนวเสี่ยงสุดโต่ง ที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จเพราะมีแรงต้านทั้งจากแบงค์ชาติและกลุ่มลูกศิษย์หลวงตา มหาบัว การเข้ามาของดร.โกร่ง คือ จัดการกับแนวต้านทั้งหลายทั้งปวง เพื่อปรับฐาน นโยบายการเงิน-การคลังของประเทศ ให้เป็นไปตามแบบทักษิโณมิกส์

คือ เอาเงินจากองทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐมาใช้ส่วนหนึ่ง หากตัวเลขประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ หรือ 1 ล้านล้านบาทบวกลบ มาใช้ในนามของ “เงินลงทุน-นอกงบประมาณ”

หากเป็นรัฐบาลก่อนๆ หน้า เวลาหากินกับงบประมาณประจำปี เขาจำได้จากงบลงทุนซึ่งแต่ละปีมีไม่มากนัก แต่ระยะหลังมา รัฐบาลประชาธิปัตย์-เพื่อไทย ใช้สูตรเดียวกันคือ ออกพรก.กู้เงินนอกงบประมาณมาใช้ ซึ่งไม่ได้ต้องผ่านการตรวจสอบจากระบบงบประมาณประจำ - แต่นวัตกรรมการยึดแบงค์ชาติเพื่อเอาเงินสำรองมาใช้ที่เปรียบเสมือนพิมพ์ธนบัตรใช้เองนี่เป็นสุดยอดนวัตกรรมการฉ้อฉล

สมัยก่อน-หากินกับหมวดเงินลงทุนในงบประมาณรายจ่ายประจำปี เปรียบเสมือนไอ้เสือเอาวา --> ยุคต่อมา-เป็นโจรใส่สูท คือ การทุจริตเชิงนโยบายแบบต่างๆ ตลอดถึง สร้างเทคนิคใหม่ พรก./พรฎ. เงินกู้นอกงบประมาณ --> ยุคล่าสุด- เข้าไปบริหารจัดการกระเป๋าของเจ้าทรัพย์เอง ยึดแบงค์ชาติ กุมกลไกการเงินการคลัง ปลดล็อกกลไกตรวจสอบถ่วงดุลทางการเงินการคลัง นำปรัชญาใหม่มาครอบ ถอยหนีจากปรัชญาพอเพียง มีสติ รัดกุม ไม่สุ่มเสี่ยง

การเอาเงินจากกองทุนสำรองฯมาใช้ จะเป็นนวัตกรรมการใช้เงินหลวงที่ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น

เปรียบให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า การเอาเงินพิเศษที่ไม่ได้อยู่ในฐานการคำนวณงบประมาณรายได้รายรับประเทศปกติมาใช้ในตลาด เปรียบได้กับ พิมพ์แบงก์ใช้เอง-นั่นเอง!

ระยะเวลา

•แนวรบทั้งสอง จะเสร็จสมบูรณ์ภายใน 1 ปี ทั้งแก้รัฐธรรมนูญใหม่(ตามกฏหมาย)และยึดแบงก์ชาติ (ตามวาระดร.โกร่ง)

จำลองสถานการณ์ผลรับของทักษิณ ** *ทบต้นทบดอก จากที่ระเหเร่ร่อนนับจากปี 2549

ในเชิงกำไร // เมกะโปรเจ็กต์ อย่างช้าต้องเริ่มในปีหน้า ด้วยก้อนเงินมหาศาล - เงินกู้ตามพรก.

- จะมีการลงทุนครั้งใหญ่ ที่จะดึงต่างประเทศพรรคพวกกันเข้ามา (ต่อยอดจากยุคไทยรักไทย 2548-2549 ที่ประกาศจะเชิญต่างชาติเสนอแนวคิดลงทุน) การลงทุนเมกกะโปรเจ็กต์เองของรัฐบาล เช่น รถไฟทางด่วน เขื่อนหรือถนนข้ามอ่าวไทยที่ปรับเป็นเขื่อนกันน้ำท่วมได้ เขื่อนแม่วงก์ ฯลฯ จะเกิดขึ้นจากนี้

- ทักษิณเงื้อทำเมกะโปรเจ็กต์มานานแล้ว ตั้งแต่ปลายสมัยไทยรักไทย พอรัฐบาลนี้ก็คิดทำมาแต่ต้น เพราะก่อนหน้านั้นพิชัย นริพทะพันธุ์ เคยทำปืนลั่นหลุดปาก แต่พอน้ำท่วมเลยเป็นข้ออ้างที่ดี....การลงทุนใหญ่ในนามของ กนย. กนอ. - แก้ปัญหาน้ำท่วม บวกการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ตามมติครม. 2.27 ล้านบาท (รถไฟ-รางคู่) โครงการเหล่านี้จะทยอยดำเนินการภายใน 3-5 ปีนี้

***ในเชิงอำนาจ // รัฐบาลปูอาจจะดูทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน จริงๆ ก็แค่ทัพหน้า เป้าหลอก ทักษิณประคองรัฐบาลปูทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งส่งทัพหลวง 2 คีมโอบมาตี จะสำเร็จสมบูรณ์ภายใน 1 ปีบวกลบ ซึ่งจะเป็นการปรับสภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมอื่นๆ เพื่อการครองอำนาจเบ็ดเสร็จและยาวนานต่อไป เพราะบ้านเลขที่ 111 กลับคืนสังเวียนแล้ว ตนเองก็พ้นบ่วงโดยพรบ.นิรโทษกรรม ฐานมวลชนคนรักทักษิณเพียวๆ ใหญ่กว่าแดงหลอกโหนขบวน และที่สุดแกนนำมวลชนสายนปช. ธิดา-เหวง-เต้น ตู่ ก่อแก้ว ฯลฯ ก็เลือกเส้นทางสายอำนาจแทนมวลชน

***ในเชิงปรัชญาแนวคิด // นี่คือการปฏิรูปถอยหลังของทักษิณ ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศตลอดหลายทศวรรษโดยเฉพาะนับจากหลัง พ.ศ. 2535 มานี้เกิดจากการกระจายรายได้ กระจายอำนาจ และการก้าวมาครองอำนาจเองของทุนฉ้อฉล การกระชับอำนาจปกครอง คือการปฏิรูปการปกครองแบบรวมศูนย์สุดขีด ถึงขนาด “ปรับดุลของอำนาจอธิปไตยทั้งสาม” เสียใหม่ ทำให้กลไกตรวจสอบอ่อนแอลงไป และสร้างกับดักต่ออำนาจตุลาการ ไม่เพียงเท่านั้นในทางการเงิน-การคลัง ก็เข้าไปยึดกุมกลไกถ่วงดุลที่เป็นอิสระมายาวนานตั้งแต่ก่อตั้งยุค อ.ป๋วย คือ แบงก์ชาติเปลี่ยนปรัชญาพื้นฐานการดำเนินนโยบายการเงินการคลัง” ให้ถอยห่างจากเศรษฐกิจพอเพียง รู้ประมาณ มีเหตุผล มีทางถอย ไปสู่แนวทางทุนใหม่กระหาย สุ่มเสี่ยง เอาเงินสำรองที่เก็บมายาวนานมาใช้
กำลังโหลดความคิดเห็น