ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับชาวเสื้อเหลืองพันธมิตรที่ช่วยกันทำคลอดพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาด้วยเสียงท้วมท้นตามความคาดหมาย
นี่คือประวัติศาสตร์การเมืองไทยหน้าสำคัญอีกบทเพราะไม่เคยมีพรรคการเมืองใดระดมความเห็นจากประชาชนอย่างกว้างขวางด้วยกระบวนการประชาธิปไตยทางตรงเช่นนี้มาก่อน
ตามคำพูดของคุณสนธิบนเวทีนั่นแหละ...เมื่อเสียงส่วนใหญ่มีมติเช่นไรที่เหลือก็ต้องยอมรับช่วยกันทำให้การเมืองคู่ขนาน ‘ภาคประชาชนและเวทีรัฐสภา’ สอดประสานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อสร้างการเมืองใหม่ขึ้นมาให้ได้
หากยึดการเมืองใหม่เป็นเป้าหมายนับจากนี้จะมีอะไรต่อมิอะไรให้ทำอีกเยอะมาก สิ่งที่คนรุ่นเรากำลังคิดทำเป็นภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่มีรายละเอียดยิ่งใหญ่มาก
คำว่า ‘สร้างการเมืองใหม่’ ไม่ใช่วัดกันที่พรรคของพันธมิตรได้ที่นั่งเสียงข้างมาก แต่คือประชาชนได้ร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ขึ้นมา
จากธรรมเนียมแบบแผนปฏิบัติสู่บรรทัดฐานและไปสู่วัฒนธรรม !
พรรคพลังธรรมเคยพยายามสร้างธรรมเนียมใหม่ให้นักการเมืองเปิดเผยทรัพย์สินต่อสาธารณะ จนกระทั่งได้รับการยอมรับเป็นกติการัฐธรรมนูญ..แต่ที่สุดแล้วผมยังไม่เห็นว่าสังคมโดยรวมถือเรื่องดังกล่าวเป็นวัฒนธรรม! ยังมีคนยอมรับได้กรณีที่นักการเมืองนำเงินไปซุกไว้นอกประเทศ ถึงแม้มีคนจับได้ไล่ทันว่ามีเงินนอกบัญชีทรัพย์สิน(และนอกจากการอายัด) เอาไปลงทุนซื้อเกาะ ซื้อทีมฟุตบอลเป็นหมื่นเป็นพันล้านก็ยังได้รับการยอมรับต่อไป
สังคมไทยส่วนหนึ่งยังคงยอมรับและจำนนกับวัฒนธรรมการเมืองแบบเก่าเพราะเราไม่พยายามสร้างบรรทัดฐานใหม่ขึ้นมา ในอังกฤษ ญี่ปุ่น เขาจับได้ว่า ส.ส./ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเอาเงินภาษีนั่งรถฟรีไปหากิ๊ก หาเงินไปซ่อมบ้าน หรือ อัพเกรดเพื่อเก็งกำไรขายต่อ สังคมของเขาทั้งสังคมพร้อมใจกันปฏิเสธกดดันจนเกิดการเปลี่ยนแปลง
วัฒนธรรมการเมืองแบบไทย ๆ ไม่สนใจและไม่ให้น้ำหนักกับเรื่องประเภทนี้ ถ้าสมชาย เพศประเสริฐ ไม่มีชื่อเป็นว่าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ก็คงไม่มีข่าวการใช้เงินสภาฯควงกิ๊กไปเที่ยวอเมริกาออกมา และก็น่าเชื่อว่ากรณีแบบสมชาย เพศประเสริฐนั้นน่าจะมีอีกหลายคน
การพูดในสภาฯ แท้จริงคือการพูดต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศ แต่ส.ส.ก็โกหกกันไฟแลบ พอจับได้ไล่ทันก็กลายเป็นเรื่องขำ ๆ ไป วัฒนธรรมการเมืองใหม่ต้องสร้างทั้งกติกาและกระแสความต้องการของคนทั้งสังคมขึ้นมาให้ได้ กดดันนักการเมืองที่โกหกหน้าตายในสภาออกจากตำแหน่งไป
เอาแค่ส.ส.ตะโกนแจกของลับในสภาแล้วยังลอยนวลอยู่ก็สะท้อนคุณภาพของสังคมการเมืองแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแบบไม่ต้องอธิบายใด ๆ เพิ่มอีกแล้ว
มีผู้ผู้ตั้งตาคอยดูส.ส.ของพรรคพันธมิตรว่าจะเข้าไปสร้างปรากฏการณ์ใหม่แบบใดบ้าง บ้างก็มองไปที่คุณภาพของชุดความคิดเพื่อจะออกมาเป็นนโยบายสาธารณะเช่นเรื่องการปฏิรูปการศึกษา การทวงคืนปตท.และนโยบายรัฐวิสาหกิจ บ้างมองไปที่วัตรปฏิบัติของส.ส.แบบที่ไม่โกงทั้งต่อหน้าลับหลังนั้นจะทำอย่างไรกับประธานกรรมาธิการที่เอาเงินหลวงควงกิ๊กไปนอก รวมไปถึงการใช้ตั๋วบินและไมล์สะสมฟรีเพื่อประโยชน์ตน ฯลฯ
เฝ้ารอว่า ส.ส. และพรรคการเมืองจะเป็นกองหน้าเพื่อสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป !
แค่นี้ไม่พอหรอกครับ และหากให้เป็นจริงอาจจะรอไปอย่างเร็วที่สุดก็เกือบปีหากจะมีการเลือกตั้งใหม่ !
มีผู้เข้าใจผิดมากว่า การเมืองของภาคประชาชนคือการเมืองบนท้องถนน อันที่จริงการเมืองของประชาชนไม่ใช่แค่การชุมนุมเรียกร้องอย่างแน่นอน
บทบาทของประชาชนที่เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยผู้เรียกหาการเมืองใหม่ ไม่ใช่แค่เข้าคิวจัดคอนเสิร์ตการเมือง หรือรอลงทะเบียนเป็นสมาชิกพรรคแล้วบริจาคเงินเดือนละ 100 นะครับ !!
การเมืองแบบคู่ขนาน ภาคประชาชน กับ พรรคการเมือง ในช่วงของการก่อร่างสร้างตัว ส.ส.-ไม่ใช่พระเอก พรรคหรือกรรมการพรรค - ก็ไม่ใช่ ... คนที่เป็นพระเอกนางเอกที่แท้จริงก็คือประชาชนพลเมืองที่ต้องการเห็นการเมืองใหม่
ประชาชนพลเมืองดังกล่าวอาจจะเป็นหรือไม่เป็นสมาชิกพรรคก็ได้คุณสมบัติของพระเอกในเรื่องนี้มีเพียงประการเดียวคืออยากเห็นและพร้อมจะปฏิบัติเพื่อให้เกิดสังคมการเมืองที่ดี
หากพรรคการเมืองดี ๆ ที่จะเกิดและเติบโตในอนาคตได้ - -จะต้องมีพื้นที่ทั่วประเทศไม่ใช่แค่ ในกรุงเทพฯและภาคตะวันออกเท่านั้น
แล้วเป็นไงล่ะครับสภาพสังคมการเมืองในพื้นที่ซึ่งเราท่านสัมผัสอยู่ นักการเมืองระดับชาติสร้างเครือข่ายลึกลงไปในอบจ. ในเทศบาลฯ และในอบต. ในการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ผ่านมาเด็กของ ส.ส. ในอบต. และ อบจ.แทบทั้งนั้นที่เป็นกลไกดำเนินการ ไม่เพียงเท่านั้นการเมืองแบบเก่ายังผูกสัมพันธ์กับเครือข่ายข้าราชการระดับปฏิบัติ ซี.4-8 ในพื้นที่ ช่วยเหลือเอื้อประโยชน์กันเป็นเครือข่าย
การเมืองเก่า สร้างฐานเน่า ๆ จากระดับท้องถิ่นและพื้นที่ !!
สิ่งที่ประชาชนต้องเริ่มทำทันทีคือการล้างสิ่งแวดล้อมการเมืองแบบเก่า และสร้างสิ่งแวดล้อมใหม่ขึ้นมา
นี่แหละคือการเมืองภาคประชาชนของจริง นั่นคือประชาชนที่เข้มแข็งรวมตัวกันทำให้ท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่โปร่งใส เกิดธรรมาธิบาล มีการตรวจสอบเข้มแข็ง
นี่คือการสกัดไม่ให้เครือข่ายที่ชั่วร้ายฝังรากเติบใหญ่แต่ต้นทาง !!!!
ก่อนนี้เวลาพูดเรื่องเลือกตั้งทีแล้วค่อยมาตรวจสอบการซื้อเสียงก่อนเลือกแค่เดือนสองเดือน มันไม่พอแล้วครับเพราะเขาซื้อกันล่วงหน้าข้ามปี งบประมาณทัศนศึกษาดูงานของภาคเหนือภาคอีสานเขาพาไปเที่ยวชายทะเลกันล่วงหน้าข้ามปี และที่สำคัญงบซื้อเสียงล่วงหน้าล้วนแต่เป็นเงินหลวงจากภาษีประชาชนแทบทั้งนั้น
ถามว่ามีสังคมในระดับพื้นที่เคยรวมตัวกันตรวจสอบงบประมาณแบบนี้หรือเปล่า ลำพังสื่อในท้องถิ่นไม่พอแน่เพราะส่วนใหญ่ก็ผูกอยู่กับนักการเมืองนั่นแหละ
ประชาชนเคยขอใช้สิทธิ์ดูงบประมาณและโครงการลงทุนอย่างละเอียดหรือไม่ ? สำหรับการเมืองเก่านี่เป็นหน้าที่ของฝ่ายค้าน แต่สำหรับการเมืองใหม่การทำให้สังคมในแต่ละระดับโปร่งใส เกิดธรรมาภิบาลเป็นภารกิจสำคัญ
เพราะนี่เป็นพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับพรรคการเมืองน้ำดีได้เติบโต และหยั่งรากต่อไป !!
นี่คือประวัติศาสตร์การเมืองไทยหน้าสำคัญอีกบทเพราะไม่เคยมีพรรคการเมืองใดระดมความเห็นจากประชาชนอย่างกว้างขวางด้วยกระบวนการประชาธิปไตยทางตรงเช่นนี้มาก่อน
ตามคำพูดของคุณสนธิบนเวทีนั่นแหละ...เมื่อเสียงส่วนใหญ่มีมติเช่นไรที่เหลือก็ต้องยอมรับช่วยกันทำให้การเมืองคู่ขนาน ‘ภาคประชาชนและเวทีรัฐสภา’ สอดประสานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อสร้างการเมืองใหม่ขึ้นมาให้ได้
หากยึดการเมืองใหม่เป็นเป้าหมายนับจากนี้จะมีอะไรต่อมิอะไรให้ทำอีกเยอะมาก สิ่งที่คนรุ่นเรากำลังคิดทำเป็นภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่มีรายละเอียดยิ่งใหญ่มาก
คำว่า ‘สร้างการเมืองใหม่’ ไม่ใช่วัดกันที่พรรคของพันธมิตรได้ที่นั่งเสียงข้างมาก แต่คือประชาชนได้ร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ขึ้นมา
จากธรรมเนียมแบบแผนปฏิบัติสู่บรรทัดฐานและไปสู่วัฒนธรรม !
พรรคพลังธรรมเคยพยายามสร้างธรรมเนียมใหม่ให้นักการเมืองเปิดเผยทรัพย์สินต่อสาธารณะ จนกระทั่งได้รับการยอมรับเป็นกติการัฐธรรมนูญ..แต่ที่สุดแล้วผมยังไม่เห็นว่าสังคมโดยรวมถือเรื่องดังกล่าวเป็นวัฒนธรรม! ยังมีคนยอมรับได้กรณีที่นักการเมืองนำเงินไปซุกไว้นอกประเทศ ถึงแม้มีคนจับได้ไล่ทันว่ามีเงินนอกบัญชีทรัพย์สิน(และนอกจากการอายัด) เอาไปลงทุนซื้อเกาะ ซื้อทีมฟุตบอลเป็นหมื่นเป็นพันล้านก็ยังได้รับการยอมรับต่อไป
สังคมไทยส่วนหนึ่งยังคงยอมรับและจำนนกับวัฒนธรรมการเมืองแบบเก่าเพราะเราไม่พยายามสร้างบรรทัดฐานใหม่ขึ้นมา ในอังกฤษ ญี่ปุ่น เขาจับได้ว่า ส.ส./ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเอาเงินภาษีนั่งรถฟรีไปหากิ๊ก หาเงินไปซ่อมบ้าน หรือ อัพเกรดเพื่อเก็งกำไรขายต่อ สังคมของเขาทั้งสังคมพร้อมใจกันปฏิเสธกดดันจนเกิดการเปลี่ยนแปลง
วัฒนธรรมการเมืองแบบไทย ๆ ไม่สนใจและไม่ให้น้ำหนักกับเรื่องประเภทนี้ ถ้าสมชาย เพศประเสริฐ ไม่มีชื่อเป็นว่าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ก็คงไม่มีข่าวการใช้เงินสภาฯควงกิ๊กไปเที่ยวอเมริกาออกมา และก็น่าเชื่อว่ากรณีแบบสมชาย เพศประเสริฐนั้นน่าจะมีอีกหลายคน
การพูดในสภาฯ แท้จริงคือการพูดต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศ แต่ส.ส.ก็โกหกกันไฟแลบ พอจับได้ไล่ทันก็กลายเป็นเรื่องขำ ๆ ไป วัฒนธรรมการเมืองใหม่ต้องสร้างทั้งกติกาและกระแสความต้องการของคนทั้งสังคมขึ้นมาให้ได้ กดดันนักการเมืองที่โกหกหน้าตายในสภาออกจากตำแหน่งไป
เอาแค่ส.ส.ตะโกนแจกของลับในสภาแล้วยังลอยนวลอยู่ก็สะท้อนคุณภาพของสังคมการเมืองแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแบบไม่ต้องอธิบายใด ๆ เพิ่มอีกแล้ว
มีผู้ผู้ตั้งตาคอยดูส.ส.ของพรรคพันธมิตรว่าจะเข้าไปสร้างปรากฏการณ์ใหม่แบบใดบ้าง บ้างก็มองไปที่คุณภาพของชุดความคิดเพื่อจะออกมาเป็นนโยบายสาธารณะเช่นเรื่องการปฏิรูปการศึกษา การทวงคืนปตท.และนโยบายรัฐวิสาหกิจ บ้างมองไปที่วัตรปฏิบัติของส.ส.แบบที่ไม่โกงทั้งต่อหน้าลับหลังนั้นจะทำอย่างไรกับประธานกรรมาธิการที่เอาเงินหลวงควงกิ๊กไปนอก รวมไปถึงการใช้ตั๋วบินและไมล์สะสมฟรีเพื่อประโยชน์ตน ฯลฯ
เฝ้ารอว่า ส.ส. และพรรคการเมืองจะเป็นกองหน้าเพื่อสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป !
แค่นี้ไม่พอหรอกครับ และหากให้เป็นจริงอาจจะรอไปอย่างเร็วที่สุดก็เกือบปีหากจะมีการเลือกตั้งใหม่ !
มีผู้เข้าใจผิดมากว่า การเมืองของภาคประชาชนคือการเมืองบนท้องถนน อันที่จริงการเมืองของประชาชนไม่ใช่แค่การชุมนุมเรียกร้องอย่างแน่นอน
บทบาทของประชาชนที่เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยผู้เรียกหาการเมืองใหม่ ไม่ใช่แค่เข้าคิวจัดคอนเสิร์ตการเมือง หรือรอลงทะเบียนเป็นสมาชิกพรรคแล้วบริจาคเงินเดือนละ 100 นะครับ !!
การเมืองแบบคู่ขนาน ภาคประชาชน กับ พรรคการเมือง ในช่วงของการก่อร่างสร้างตัว ส.ส.-ไม่ใช่พระเอก พรรคหรือกรรมการพรรค - ก็ไม่ใช่ ... คนที่เป็นพระเอกนางเอกที่แท้จริงก็คือประชาชนพลเมืองที่ต้องการเห็นการเมืองใหม่
ประชาชนพลเมืองดังกล่าวอาจจะเป็นหรือไม่เป็นสมาชิกพรรคก็ได้คุณสมบัติของพระเอกในเรื่องนี้มีเพียงประการเดียวคืออยากเห็นและพร้อมจะปฏิบัติเพื่อให้เกิดสังคมการเมืองที่ดี
หากพรรคการเมืองดี ๆ ที่จะเกิดและเติบโตในอนาคตได้ - -จะต้องมีพื้นที่ทั่วประเทศไม่ใช่แค่ ในกรุงเทพฯและภาคตะวันออกเท่านั้น
แล้วเป็นไงล่ะครับสภาพสังคมการเมืองในพื้นที่ซึ่งเราท่านสัมผัสอยู่ นักการเมืองระดับชาติสร้างเครือข่ายลึกลงไปในอบจ. ในเทศบาลฯ และในอบต. ในการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ผ่านมาเด็กของ ส.ส. ในอบต. และ อบจ.แทบทั้งนั้นที่เป็นกลไกดำเนินการ ไม่เพียงเท่านั้นการเมืองแบบเก่ายังผูกสัมพันธ์กับเครือข่ายข้าราชการระดับปฏิบัติ ซี.4-8 ในพื้นที่ ช่วยเหลือเอื้อประโยชน์กันเป็นเครือข่าย
การเมืองเก่า สร้างฐานเน่า ๆ จากระดับท้องถิ่นและพื้นที่ !!
สิ่งที่ประชาชนต้องเริ่มทำทันทีคือการล้างสิ่งแวดล้อมการเมืองแบบเก่า และสร้างสิ่งแวดล้อมใหม่ขึ้นมา
นี่แหละคือการเมืองภาคประชาชนของจริง นั่นคือประชาชนที่เข้มแข็งรวมตัวกันทำให้ท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่โปร่งใส เกิดธรรมาธิบาล มีการตรวจสอบเข้มแข็ง
นี่คือการสกัดไม่ให้เครือข่ายที่ชั่วร้ายฝังรากเติบใหญ่แต่ต้นทาง !!!!
ก่อนนี้เวลาพูดเรื่องเลือกตั้งทีแล้วค่อยมาตรวจสอบการซื้อเสียงก่อนเลือกแค่เดือนสองเดือน มันไม่พอแล้วครับเพราะเขาซื้อกันล่วงหน้าข้ามปี งบประมาณทัศนศึกษาดูงานของภาคเหนือภาคอีสานเขาพาไปเที่ยวชายทะเลกันล่วงหน้าข้ามปี และที่สำคัญงบซื้อเสียงล่วงหน้าล้วนแต่เป็นเงินหลวงจากภาษีประชาชนแทบทั้งนั้น
ถามว่ามีสังคมในระดับพื้นที่เคยรวมตัวกันตรวจสอบงบประมาณแบบนี้หรือเปล่า ลำพังสื่อในท้องถิ่นไม่พอแน่เพราะส่วนใหญ่ก็ผูกอยู่กับนักการเมืองนั่นแหละ
ประชาชนเคยขอใช้สิทธิ์ดูงบประมาณและโครงการลงทุนอย่างละเอียดหรือไม่ ? สำหรับการเมืองเก่านี่เป็นหน้าที่ของฝ่ายค้าน แต่สำหรับการเมืองใหม่การทำให้สังคมในแต่ละระดับโปร่งใส เกิดธรรมาภิบาลเป็นภารกิจสำคัญ
เพราะนี่เป็นพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับพรรคการเมืองน้ำดีได้เติบโต และหยั่งรากต่อไป !!