ทันทีที่มีข่าวยุบพรรคก็มีการแถลงออกมาทันทีว่า รัฐบาลใหม่จะมาจากพรรคการเมือง 6 พรรคขั้วเดิมไม่มีพลัดพราก ต่อจากนั้นได้ปล่อยรายชื่อแคนดิเดต อาทิ สันติ มิ่งขวัญ เฉลิม อภินันท์ รวมไปถึง ปู่ชัย และ ขุนค้อน
กลายเป็นข่าวพาดหัวใหญ่เกรียวกราวในวันรุ่งขึ้น !
นี่เป็นกระบวนท่าการเมืองเดิม ๆ ที่เรียกว่า ชิงลงมือ เป็นฝ่ายรุกตีกินไว้ก่อนส่วนความจริงเป็นเช่นไรค่อยว่ากัน
เราท่านที่ยังพอมีความจำอยู่บ้างคงจะเห็นภาวะหม้อขี้คว่ำตอนเลือกนายกฯใหม่แทนสมัคร สุนทรเวช กันแล้ว กลุ่มหนึ่งประกาศหนุนสมัคร สุนทรเวช ขึ้นแทนสมัครที่ถูกศาลตัดสินความผิดชิมบ่นไป ถึงขนาดไปหลอกคนเสื้อแดงล่าชื่อหนุนที่สุดก็ถูกพรรคร่วมและกลุ่มภาคเหนือตัดขาส่งสมชาย ขึ้นแท่นกลายเป็นนายกฯสุดไร้น้ำยาประดับประวัติศาสตร์การเมืองไทย
เหตุการณ์พวกเดียวกันผลัดกันแฉ เปลี่ยนกันถือมีดแทงข้างหลัง ที่เคยเกิดมาหยก ๆ ไม่ถึง 3 เดือนเต็มบ่งบอกว่าการเมืองเรื่องการตั้งนายกใหม่ และตั้งรัฐบาลใหม่ ไม่ง่ายเหมือนที่นักการเมืองประกาศผ่านสื่อและเป็นข่าวพาดหัวแต่อย่างใด
ปัจจัยแวดล้อมทางการเมืองวันนี้กับเมื่อ 3 เดือนก่อนผิดแผกอย่างยิ่ง
อย่างน้อยเมื่อ 3 เดือนก่อนทั้ง 6 พรรคร่วมก็ยังใช้ชื่อพรรคเดิม หาได้ถูกยุบพรรคเช่นวันนี้ นักการเมืองบางขณะเป็นสิ่งที่ถูกจูงจมูก..แต่บางขณะก็เป็นเสือสิงห์กระทิงแรดได้เช่นกัน
ดังนั้นข่าวพาดหัวที่เห็นจึงเป็นความจริงในระดับแค่ว่ามีคนพูดเรื่องนี้.. แต่ไม่ได้ลงลึกไปว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นจริงเท็จแค่ใด
บางทีข่าวก็เป็นแค่ การที่สื่อเอาความเท็จมานำเสนอต่อสาธารณะเท่านั้น !!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวการเมืองแบบไทย ๆ
การออกโรงของ กกร. ในช่วง 2 วันมานี้ ถึงขนาดซื้อหน้าโฆษณาหนังสือพิมพ์เต็มหน้าเป็นการแสดงบทบาทของภาคเอกชนที่น่าสนใจมาก บอกกับสาธารณะว่าบ้านเมืองนี้ก็เป็นของพวกเขาเหมือนกัน
ปัญหาใหญ่ที่กำลังเผชิญหน้ากับประเทศไทยนับจากนี้ไปคือ วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่มีผลกระทบมหาศาล มีขนาดความรุนแรงอาจจะใหญ่กว่าวิกฤตปี 40 ที่เวลานั้นสังคมไทยยังพอมีทุนทางสังคมเป็นเบาะรองรับอยู่พอสมควร
สังคมไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจ ให้ความเชื่อมั่นศรัทธา คล้ายกับที่ชาวพม่ามุ่งหาสถาบันศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจลดทอนสิ่งที่เผชิญจากรัฐบาลทหารและปัญหาเศรษฐกิจ
เมื่อปี 2540 ยังไม่มีขบวนการโจมตีสถาบันฯ ที่รุนแรง เปิดเผยต่อสาธารณะอย่างปี 2551 ไม่แบ่งฝ่ายเขาฝ่ายเรา แต่สำหรับวิกฤตปี 2552 ที่กำลังจะเกิดดูเหมือนสังคมไทยได้เกิดบุคลาธิษฐาน-ผีบุญตัวใหม่ขึ้นมาในหมู่คนบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ศรัทธาเงินเป็นพระเจ้า
สังคมไทยเคยมีสังคมชนบทและภาคเกษตรกรรม เครือข่ายครอบครัว พี่น้อง และความผูกพันในสังคมชนบทเป็นทุนดั้งเดิมที่ประคับประคองเศรษฐกิจ รองรับคนที่เผชิญปัญหาจากในเมือง
ลูกหลานถูกปลดจากโรงงาน กลับบ้านไปช่วยทำนา ปลูกมัน กรีดยาง ฯลฯ มีสังคมแวดล้อมที่เห็นอกเห็นใจ
มาปี 2552 – ไม่แน่ว่าชนบทจะยังเป็นทุนทางสังคมเป็นเบาะรองรับวิกฤตได้ดังเดิมหรือไม่ เพราะชนบทระยะหลายปีที่ผ่านมาก่อหนี้ท่วมหัว นโยบายรัฐหลายปีมานี้มุ่งสร้างเมืองให้ใหญ่ มุ่งผลักดันพี่น้องเข้าสู่วงจรของความไม่สมดุล ไม่พอเพียง เพราะมีความคิดว่าวงจรเศรษฐกิจจะใหญ่และเคลื่อนเร็วกว่าเดิมต้องกระตุ้นลงไปที่รากหญ้า อัดฉีดเงินภายใต้โครงการต่าง ๆ อ้างว่าเพื่อเป็นอาชีพเสริม แต่แท้จริงเป็นแค่การกระตุ้นให้ซื้อมือถือ มอเตอร์ไซด์ หมุนวงจรเศรษฐกิจเท่านั้น
เฉลิม อยู่บำรุง , ชัย ชิดชอบ ที่พวกคุณเสนอมานี่ล่ะหรือผู้นำที่จะฝ่าวิกฤตใหญ่ !!?
เอาแค่ชื่อที่โผล่ขึ้นมาก็บ่งบอกคุณภาพนักการเมืองไทยแล้วว่าพวกเขาเป็นแค่นักแสวงหาอำนาจส่วนตนเท่านั้นหาได้เคยคำนึงถึงประเทศชาติส่วนรวมเลย !
การเมืองไทยแบบพรรคพลังประชาชน หรือจะย้ายมาชื่อใหม่เป็นการเมืองแบบจัดสรรปันส่วน ยึดถือมุ้งโควตา เป็นหลัก 100 %
เอาลิงที่ไหนมาเป็นรัฐมนตรีก็ได้ ขอให้มาจากโควตา
การเมืองไทยในช่วง 5 วันต่อจากนี้คือการต่อรองโควตาหลายขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มย้ายพรรค ก่อนย้ายต้องได้รับการยืนยันถึงโควตารัฐมนตรีแล้ว และการกัดเพื่อแย่งเก้าอี้กันในนามของการต่อรองทางการเมืองจะรุนแรงขึ้นหลังจากได้นายกฯ
ฟันธงได้เลย ภายใต้กรอบการบริหารจัดการการเมืองแบบพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ หนีไม่พ้นระบบโควตาแบบที่เคยเกิดในรัฐบาลสมัคร-สมชาย แบบที่เอาลิงที่ไหนก็ได้มาเป็นรัฐมนตรี
ซึ่งใครเล่าจะยอมให้ลิงมาเป็นรัฐบาลนำประเทศไทยฝ่าพายุเศรษฐกิจ
สังคมไทยยุคหลังพันธมิตรฯ ย่อมไม่เหมือนสังคมไทยแบบยอมจำนนเหมือนเช่นที่เคยเป็นมาอีกแล้ว
ไม่ต้องถึงมือพันธมิตรหรอกปล่อยให้พักผ่อนไปเถอะเพราะจากนี้จะมี สมาชิก กกร. อาทิ หอการค้า สภาอุตสาหกรรม นายธนาคารและการเงิน รวมทั้งมือที่มองไม่เห็นจะออกมากดดันกระบวนการจัดรัฐบาล
แรงกดดันจากภาคเศรษฐกิจ - ซึ่งมีพลังจริง มีตัวคนที่จับต้องได้ ยกหูโทรศัพท์ได้ นั่งกินข้าวปรับทุกข์ และเคลื่อนไหวได้ ... ย่อมมิอาจไม่เคลื่อนไหว !!!
ปัจจัยภายใน นักการเมือง 6 พรรค – ที่มีมากกว่า 20 มุ้ง เอาแค่กวาดให้เข้าพรรคเดียวกันภายใต้ข้อตกลงโควตารัฐมนตรีก็ยากแล้ว
ปัจจัยภายนอก เรื่องเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องเล็กเพราะประเทศชาติไม่ใช่ของล้อเล่น
พรรคเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลได้ก็ต่อเมื่อยอมให้คนเก่ง คนดี คนทุ่มเทต่อสาธารณะมานั่งโดยตัดวงจรผลประโยชน์โควตาลิงออกไป...นักการเมืองกระสือจะยอมรับได้หรือไม่ ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการร่วมพรรคใหม่ !?
5 วันจากนี้ เป็นการเคลื่อนไหวที่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ผิวน้ำ ที่รุนแรง และแหลมคม
เป็นการต่อรองและกดดันคู่ขนานจากทั้งฝ่ายการเมือง และฝ่ายเศรษฐกิจ
ส่วนพวกที่แถลงข่าวเอามันวันละเรื่องเป็นแค่โฆษกน้ำจิ้ม .. ให้นึกว่าดูรายการสภาโจ๊กแก้เลี่ยนไปก็แล้วกัน !
กลายเป็นข่าวพาดหัวใหญ่เกรียวกราวในวันรุ่งขึ้น !
นี่เป็นกระบวนท่าการเมืองเดิม ๆ ที่เรียกว่า ชิงลงมือ เป็นฝ่ายรุกตีกินไว้ก่อนส่วนความจริงเป็นเช่นไรค่อยว่ากัน
เราท่านที่ยังพอมีความจำอยู่บ้างคงจะเห็นภาวะหม้อขี้คว่ำตอนเลือกนายกฯใหม่แทนสมัคร สุนทรเวช กันแล้ว กลุ่มหนึ่งประกาศหนุนสมัคร สุนทรเวช ขึ้นแทนสมัครที่ถูกศาลตัดสินความผิดชิมบ่นไป ถึงขนาดไปหลอกคนเสื้อแดงล่าชื่อหนุนที่สุดก็ถูกพรรคร่วมและกลุ่มภาคเหนือตัดขาส่งสมชาย ขึ้นแท่นกลายเป็นนายกฯสุดไร้น้ำยาประดับประวัติศาสตร์การเมืองไทย
เหตุการณ์พวกเดียวกันผลัดกันแฉ เปลี่ยนกันถือมีดแทงข้างหลัง ที่เคยเกิดมาหยก ๆ ไม่ถึง 3 เดือนเต็มบ่งบอกว่าการเมืองเรื่องการตั้งนายกใหม่ และตั้งรัฐบาลใหม่ ไม่ง่ายเหมือนที่นักการเมืองประกาศผ่านสื่อและเป็นข่าวพาดหัวแต่อย่างใด
ปัจจัยแวดล้อมทางการเมืองวันนี้กับเมื่อ 3 เดือนก่อนผิดแผกอย่างยิ่ง
อย่างน้อยเมื่อ 3 เดือนก่อนทั้ง 6 พรรคร่วมก็ยังใช้ชื่อพรรคเดิม หาได้ถูกยุบพรรคเช่นวันนี้ นักการเมืองบางขณะเป็นสิ่งที่ถูกจูงจมูก..แต่บางขณะก็เป็นเสือสิงห์กระทิงแรดได้เช่นกัน
ดังนั้นข่าวพาดหัวที่เห็นจึงเป็นความจริงในระดับแค่ว่ามีคนพูดเรื่องนี้.. แต่ไม่ได้ลงลึกไปว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นจริงเท็จแค่ใด
บางทีข่าวก็เป็นแค่ การที่สื่อเอาความเท็จมานำเสนอต่อสาธารณะเท่านั้น !!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวการเมืองแบบไทย ๆ
การออกโรงของ กกร. ในช่วง 2 วันมานี้ ถึงขนาดซื้อหน้าโฆษณาหนังสือพิมพ์เต็มหน้าเป็นการแสดงบทบาทของภาคเอกชนที่น่าสนใจมาก บอกกับสาธารณะว่าบ้านเมืองนี้ก็เป็นของพวกเขาเหมือนกัน
ปัญหาใหญ่ที่กำลังเผชิญหน้ากับประเทศไทยนับจากนี้ไปคือ วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่มีผลกระทบมหาศาล มีขนาดความรุนแรงอาจจะใหญ่กว่าวิกฤตปี 40 ที่เวลานั้นสังคมไทยยังพอมีทุนทางสังคมเป็นเบาะรองรับอยู่พอสมควร
สังคมไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจ ให้ความเชื่อมั่นศรัทธา คล้ายกับที่ชาวพม่ามุ่งหาสถาบันศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจลดทอนสิ่งที่เผชิญจากรัฐบาลทหารและปัญหาเศรษฐกิจ
เมื่อปี 2540 ยังไม่มีขบวนการโจมตีสถาบันฯ ที่รุนแรง เปิดเผยต่อสาธารณะอย่างปี 2551 ไม่แบ่งฝ่ายเขาฝ่ายเรา แต่สำหรับวิกฤตปี 2552 ที่กำลังจะเกิดดูเหมือนสังคมไทยได้เกิดบุคลาธิษฐาน-ผีบุญตัวใหม่ขึ้นมาในหมู่คนบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ศรัทธาเงินเป็นพระเจ้า
สังคมไทยเคยมีสังคมชนบทและภาคเกษตรกรรม เครือข่ายครอบครัว พี่น้อง และความผูกพันในสังคมชนบทเป็นทุนดั้งเดิมที่ประคับประคองเศรษฐกิจ รองรับคนที่เผชิญปัญหาจากในเมือง
ลูกหลานถูกปลดจากโรงงาน กลับบ้านไปช่วยทำนา ปลูกมัน กรีดยาง ฯลฯ มีสังคมแวดล้อมที่เห็นอกเห็นใจ
มาปี 2552 – ไม่แน่ว่าชนบทจะยังเป็นทุนทางสังคมเป็นเบาะรองรับวิกฤตได้ดังเดิมหรือไม่ เพราะชนบทระยะหลายปีที่ผ่านมาก่อหนี้ท่วมหัว นโยบายรัฐหลายปีมานี้มุ่งสร้างเมืองให้ใหญ่ มุ่งผลักดันพี่น้องเข้าสู่วงจรของความไม่สมดุล ไม่พอเพียง เพราะมีความคิดว่าวงจรเศรษฐกิจจะใหญ่และเคลื่อนเร็วกว่าเดิมต้องกระตุ้นลงไปที่รากหญ้า อัดฉีดเงินภายใต้โครงการต่าง ๆ อ้างว่าเพื่อเป็นอาชีพเสริม แต่แท้จริงเป็นแค่การกระตุ้นให้ซื้อมือถือ มอเตอร์ไซด์ หมุนวงจรเศรษฐกิจเท่านั้น
เฉลิม อยู่บำรุง , ชัย ชิดชอบ ที่พวกคุณเสนอมานี่ล่ะหรือผู้นำที่จะฝ่าวิกฤตใหญ่ !!?
เอาแค่ชื่อที่โผล่ขึ้นมาก็บ่งบอกคุณภาพนักการเมืองไทยแล้วว่าพวกเขาเป็นแค่นักแสวงหาอำนาจส่วนตนเท่านั้นหาได้เคยคำนึงถึงประเทศชาติส่วนรวมเลย !
การเมืองไทยแบบพรรคพลังประชาชน หรือจะย้ายมาชื่อใหม่เป็นการเมืองแบบจัดสรรปันส่วน ยึดถือมุ้งโควตา เป็นหลัก 100 %
เอาลิงที่ไหนมาเป็นรัฐมนตรีก็ได้ ขอให้มาจากโควตา
การเมืองไทยในช่วง 5 วันต่อจากนี้คือการต่อรองโควตาหลายขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มย้ายพรรค ก่อนย้ายต้องได้รับการยืนยันถึงโควตารัฐมนตรีแล้ว และการกัดเพื่อแย่งเก้าอี้กันในนามของการต่อรองทางการเมืองจะรุนแรงขึ้นหลังจากได้นายกฯ
ฟันธงได้เลย ภายใต้กรอบการบริหารจัดการการเมืองแบบพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ หนีไม่พ้นระบบโควตาแบบที่เคยเกิดในรัฐบาลสมัคร-สมชาย แบบที่เอาลิงที่ไหนก็ได้มาเป็นรัฐมนตรี
ซึ่งใครเล่าจะยอมให้ลิงมาเป็นรัฐบาลนำประเทศไทยฝ่าพายุเศรษฐกิจ
สังคมไทยยุคหลังพันธมิตรฯ ย่อมไม่เหมือนสังคมไทยแบบยอมจำนนเหมือนเช่นที่เคยเป็นมาอีกแล้ว
ไม่ต้องถึงมือพันธมิตรหรอกปล่อยให้พักผ่อนไปเถอะเพราะจากนี้จะมี สมาชิก กกร. อาทิ หอการค้า สภาอุตสาหกรรม นายธนาคารและการเงิน รวมทั้งมือที่มองไม่เห็นจะออกมากดดันกระบวนการจัดรัฐบาล
แรงกดดันจากภาคเศรษฐกิจ - ซึ่งมีพลังจริง มีตัวคนที่จับต้องได้ ยกหูโทรศัพท์ได้ นั่งกินข้าวปรับทุกข์ และเคลื่อนไหวได้ ... ย่อมมิอาจไม่เคลื่อนไหว !!!
ปัจจัยภายใน นักการเมือง 6 พรรค – ที่มีมากกว่า 20 มุ้ง เอาแค่กวาดให้เข้าพรรคเดียวกันภายใต้ข้อตกลงโควตารัฐมนตรีก็ยากแล้ว
ปัจจัยภายนอก เรื่องเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องเล็กเพราะประเทศชาติไม่ใช่ของล้อเล่น
พรรคเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลได้ก็ต่อเมื่อยอมให้คนเก่ง คนดี คนทุ่มเทต่อสาธารณะมานั่งโดยตัดวงจรผลประโยชน์โควตาลิงออกไป...นักการเมืองกระสือจะยอมรับได้หรือไม่ ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการร่วมพรรคใหม่ !?
5 วันจากนี้ เป็นการเคลื่อนไหวที่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ผิวน้ำ ที่รุนแรง และแหลมคม
เป็นการต่อรองและกดดันคู่ขนานจากทั้งฝ่ายการเมือง และฝ่ายเศรษฐกิจ
ส่วนพวกที่แถลงข่าวเอามันวันละเรื่องเป็นแค่โฆษกน้ำจิ้ม .. ให้นึกว่าดูรายการสภาโจ๊กแก้เลี่ยนไปก็แล้วกัน !