xs
xsm
sm
md
lg

"สนธิ"ลั่นยืนตรงข้ามนักการเมืองเลว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พันธมิตรแถลงความชัดเจนการเมืองใหม่ "สนธิ" ชี้ชัดทำตรงข้ามพฤติกรรมนักการเมืองปัจจุบัน ยกตัวอย่างการเมืองเก่า "บรรหารบุรี" ลั่นแม้ "หมัก" จนมุมต้องออกก็จะยืนหยัดต่อสู้ ขจัดการเมืองเก่าที่เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยและสถาบันกษัตริย์ "สุริยะใส" ลั่นไม่ให้ราคา “เติ้ง” นั่งแท่นหุ่นเชิดรุ่น2 เหตุไร้วุฒิภาวะ และทำตัวเกาะติดระบอบแม้วมาโดยตลอด เผยแกนนำเตรียมเปิดเวทีเสวนาวันนี้ เพื่อแชร์ความคิดการเมืองใหม่ "ประพันธ์" ขึงพืดสมัครผิดชัดเจน แนะจับตาชิงยุบสภาก่อนบ่ายวันนี้ เด็กรามฯ เดินหน้าออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 จวกตำรวจ-พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล

วานนี้ (8 ก.ย.) เมื่อเวลา 22.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวถึงการเมืองใหม่ว่า ต้องไม่ใช่การเมืองแบบเก่าอย่างทุกวันนี้ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่า ในยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้การเมืองเก่าเพื่อสร้างอำนาจ เพราะถ้าต้องการการเมืองใหม่จริงคงไม่เชิญคนอย่าง นายเสนาะ เทียนทอง เข้ามาร่วมพรรคไทยรักไทย

"นายเสนาะได้เสนอในที่ประชุมร่วม 3 ฝ่ายเพื่อแก้วิกฤตการเมืองโดยเสนอให้ปราบปรามการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯแม้ว่าจะเกิดการนองเลือดก็ยอม โดยอ้างว่าเพื่อรักษาระบบ" นายสนธิกล่าวและตั้งข้อสังเกตว่า ในการก่อตั้งพรรคไทยรักไทยช่วงแรกมีคนดีๆ เข้าร่วมมากมาย แต่ตอนหลังมีการเชิญนักการเมืองน้ำเน่าเข้ามาอย่างเช่น นายเสนาะ ซึ่งคนๆ นี้เป็นคนแรกที่ทำให้ระบอบทักษิณ เกิดขึ้นและกลายเป็นโรคระบาด เป็นเนื้อร้ายที่ทำลายชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ ซึ่งเวลานี้ต้องยอมรับว่าเป็นการปะทะกันระหว่างระบอบทักษิณกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ผ่านทางนอมินีอย่าง นายสมัคร สุนทรเวช

นายสนธิ ได้ชื่นชมจิตใจการต่อสู้ที่เข้มแข็งของพี่น้องประชาชนในที่นี้ เพราะ 107 วันที่ผ่านมามีแต่มนุษย์ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์เท่านั้นที่ทนได้ แม้แต่นายพลที่ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยายังสู้ไม่ได้

"ถ้าการเมืองเก่ายังอยู่จะเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยเฉพาะกับสถาบันพระมหากษัตริย์" นายสนธิ ระบุ และว่า การเมืองเก่าจะอ้างเสียงข้างมากแล้วทำอะไรก็ได้ การเมืองเก่าคือการใช้เงินซื้อเสียง ซื้ออำนาจแล้วบอกว่าผมมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งนักการเมืองเก่าๆ เหล่านี้กลัวการเมืองใหม่ เพราะกลัวว่าจะตกเวที ไม่ว่าจะเป็นนายบรรหาร ศิลปอาชา นายเสนาะ ยกตัวอย่างเช่น สร้างศาลาที่สุพรรณแต่กลับเขียนชื่อ บรรหาร-แจ่มใส เป็นการกระทำที่หน้าด้านที่สุด เพราะใช้เงินภาษีของประชาชนสร้าง แต่กลับเขียนชื่อของตัวเอง

"ดังนั้นการเมืองใหม่ ต้องถามประชาชนก่อน" นายสนธิ ระบุและว่า พวกเรามาไกลแล้ว ไม่ใช่แค่ นายสมัคร ลาออกแล้วพวกเราจะเก็บข้าวของกลับบ้าน เพราะยังไม่พอ เพราะเราต้องส่งสัญญาณให้ทุกส่วนได้รู้

"พวกเราตากแดดตากฝน เจอแม้กระทั่งลูกเห็บจะพอแค่นี้หรือ พรุ่งนี้ (9 ก.ย.)จะประชุมกันก่อนแล้วจะมาขอมติจากพี่น้อง" นายสนธิกล่าว

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 21.50 น.พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัย โดยกล่าวว่า วันนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ดังนั้นแกนนำพันธมิตรฯจะมีการประชุมปรึกษากัน รวมทั้งถามความเห็น จากพี่น้องประชาชน ส่วนเรื่องการนำเสนอการเมืองใหม่นั้น มีคนจำนวนมากเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ในรายละเอียดยังไม่ได้มีการระบุรายละเอียดลงไป โดย พลตรีจำลอง ได้ยกตัวอย่างของการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่ ให้เห็นด้วย เช่น การเมืองใหม่นักการเมืองต้องมีการเสียสละ นักการเมืองต้องไม่โกงต่อหน้าและลับหลัง ไม่ซื้อเสียง ไม่พูดโกหกใส่ร้ายป้ายสี เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ยกตัวอย่างมานี้ ต้องมีการปรับปรุงระบบให้มีการเอื้อต่อระบบการเมืองใหม่ นอกจากนี้ ยังได้ยกบันทึกการเลือกตั้งในอดีต ซึ่งในสมัยที่ตนเองเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ให้เห็นว่า นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคประชากรไทย ได้รับเลือกตั้ง แพ้ พรรคพลังธรรม มาตลอด รวมถึง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในสมัยที่เป็นหัวหน้าพรรคมวลชน ก็ได้รับเลือกตั้งแพ้ พรรคพลังธรรม เช่นกัน

พล.ต.จำลอง กล่าวถึงในสมัยที่ตนเองเป็นคนชักชวน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเล่นการเมือง ว่า ตนเองเคยแนะนำให้ทักษิณตั้งพรรค แต่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ตั้ง เพราะกลัวว่าคนจะมาขอเงินตนเอง แต่เมื่อทักษิณเข้ามาอยู่ที่พรรคพลังธรรม จนตนเองให้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค และเดินหาเสียงเลือกตั้ง โดยที่พรรคพลังธรรมดำเนินงานการเมืองด้วยวิธีที่แตกต่างจากพรรคอื่น แม้ว่าจะได้รับเลือก ส.ส.เข้ามาในจำนวนที่น้อย ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเมืองที่ไม่มีการซื้อเสียงแต่อย่างใด และแตกต่างจากสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิวัตร เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และได้รับเสียงเลือกตั้งอย่างมากมายด้วยวิธีที่ไม่สุจริต ดังนั้นแล้ว ถึงเวลาแล้วที่การเมืองใหม้จะต้องเกิดขึ้น แม้ว่าจะยังไม่อื้ออำนวยเท่าไรนัก

ไม่รับเติ้งนั่งนายกฯ หุ่นเชิดรุ่น 2

วานนี้ (8 ก.ย.) ที่เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 18.30น.นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงเรื่องกรณี ที่มี่การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมืองใหม่ พันธมิตรฯ เห็นว่า มีการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน บิดเบือนและมีอคติกับบางฝ่ายพอสมควร แต่ก็มีการตอบรับจากสังคมเป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน ดังนั้น เราจึงต้องออกแถลงการณ์การเมืองใหม่เพื่อตอกย้ำจุดยืน (อ่าน...แถลงการณ์ ฉบับที่ 20/2551 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรื่อง “การเมืองใหม่”..ประกอบข่าว)

นายสุริยะใส กล่าวว่า วันนี้ (9 ก.ย.) เวลา 14.00 น.ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยสถานภาพนายกรัฐมนตรี กรณี คำร้องรายการ ชิมไปบ่นไป ซึ่งไม่ว่าจะเกิด อะไรขึ้นก็ตาม คำพิพากษาจะออกมาทางใดก็ตาม พันธมิตรฯ น้อมรับคำวินิจฉัย และหากวินิจฉัยว่าต้องพ้นสภานภาพ ครม.ก็ต้องพ้นสถานภาพไปด้วย ตรงนี้จะทำให้เกิดสุญญากาศตามมาได้

ส่วนเรื่องการประกันตัว 82 ผู้ต้องหา ที่บุกเอ็นบีที ในวันที่ 26 ส.ค.2551 นั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า วานนี้ทนายความได้ไปเจรจาขอซื้อประกันชีวิต แต่ถูกบริษัทปฏิเสธ แต่อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้มีการพูดคุยกับบริษัทอื่นอยู่ภายใน 1-2 วัน น่าจะได้ข้อยุติ จากนั้นเราก็จะยื่นขอประกันตัวใหม่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเหตุการณ์เช้ามืดที่เอ็นบีที่นั้นว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร มีการสวมรอยหรือไม่ เพราะยอมรับว่าครึ่งหนึ่งเรารู้จัก แต่อีกครึ่งหนึ่งเราไม่รู้จัก ดังนั้นเมื่อคนกลุ่มนี้ออกมาได้เหตุการณ์ก็คงจะชัดเจนมากขึ้น

สำหรับกรณีที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จะบินไปประชุมสหประชาชาติในช่วงกลางเดือนนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ตรงนี้ นายสมัคร ใช้เป็นข้ออ้างขอให้ศาลอุทธรณ์เลื่อนการอ่านคำพิพากษาซึ่งจะเลื่อนหรือไม่นั้นคงต้องแล้วแต่ดุลพินิจของศาล แต่เราได้รับแจ้งจากพันธมิตรฯ สหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ว่า ได้มีการเตรียมจัดประชุมใหญ่ที่นิวยอร์ค เพื่อต่อต้านและแสดงให้เห็นว่า เราไม่รับรองรัฐบาลชุดนี้อีกแล้ว นอกจากนั้น นายสุริยะใส ยังกล่าวถึงเรื่องการเมืองใหม่ว่า แกนนำพันธมิตรฯ จะใช้ห้องประชุมสันติไมตรี จัดเสวนาวิชาการ โดยจะมีการถ่ายทอดสด และเชิญองค์กรวิชาการต่างๆ มาแลกเปลี่ยนความเห็น เพื่อให้เห็นรูปแบบการเมืองใหม่ว่าควรจะเป็นอย่างไร แต่จะเป็นวันไหนนั้นจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง

กรณีที่มีการสร้างตุ๊กตาขึ้นมา โดยมี นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย เป็นนายกฯ รักษาการ หากเกิดสุญญากาศนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า นายบรรหาร ไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ เพราะ 3-4 เดือนที่ผ่านมา นายบรรหาร ถูกหนีบโดยระบอบทักษิณ ไปเรียบร้อยแล้ว หากนายบรรหารเป็นนายกฯ พันธมิตรฯ ก็คงยากที่จะรับได้

“นายบรรหาร มีจุดยืนอยู่กับระบอบทักษิณ อีกทั้งสัจจะวาจาที่เคยพูดว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน แต่สุดท้ายก็ยังพลิกลิ้นจน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ต้องออกจากพรรคชาติไทยไป กรณีความน่าเชื่อถือและวุฒิภาวะทางการเมืองต่อสถานการณ์ในขณะนี้ ของนายบรรหาร ไม่เพียงพอ แค่คิดก็ผิดแล้ว อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฯ มีข้อเสนอแต่ยังไม่ขอพูดเพราะจะกลายเป็นการกดดันศาลได้” นายสุริยะใส กล่าว

ส่วนกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลอาจจะโหวต นายสมัครกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งนั้น นายสุริยะใสกล่าวว่า สังคมคงไม่อนุญาต เพราะเมื่อมีคำวินิจฉัยจากศาลให้พ้นสถานภาพไปแล้ว แบบนั้นจะเป็นการดูถูกและฝืนความรู้สึกของสังคมมากเกินไป และคงไม่ได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าประเด็นนี้ไม่ได้รับสัญญานอะไรจากศาลทั้งสิ้นเป็นเพียงการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ ซึ่งเชื่อว่าในวันพรุ่งนี้ น่าจะมีข่าวดี

"ประพันธ์" แนะจับตาสมัครชิงยุบสภา

เย็นวานนี้ นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยในคดีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม จัดรายการชิมไปบ่นไปในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่อาจทำให้นายสมัครพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตามกฎหมายว่า การจัดรายการชิมไปบ่นไปของนายสมัครเป็นการไม่สมควร เพราะทำให้เอกชนรายนั้นได้เปรียบกว่ารายอื่น ซึ่งก่อนที่นายสมัครเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนก.พ. เคยจัดรายการนี้และเคยรับเงินครั้งละเป็นแสนบาท ซึ่งตนมีหลักฐานการรับเงินค่าจ้างและการเสียภาษี และนอกจากนี้บริษัทที่เป็นสปอนเซอร์ให้กับรายการชิมไปบ่นไปที่เป็นบริษัทซีอิ๊ว ซึ่งด้วยความสัมพันธ์ไม่รู้อีท่าไหนเพราะวันนี้นายสมัครได้แต่งตั้งให้เจ้าของบริษัทซีอิ๊วเป็นบอร์ดการบินไทย หรือสงใสจะเอาซีอิ๊วไปขึ้นเครื่องทั้งที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเรืองการบินเลย

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า หลังจากนายสมัครเป็นนายกฯ ในเดือนก.พ.นายสมัครยังใช้สถานที่ภายในบ้านตัวเองถ่ายทำรายการชิมไปบ่นไป และได้รับค้าจ้างเช่นเดียวกัน และยังไปถ่ายทำรายการตามต่างจังหวัดอีกหลายจังหวัด จนถูกนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นเรื่องตรวจสอบต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลก็ได้ทำการไต่สวนจากพยายานทุกฝ่ายว่ามีการเผยแพร่รายการนี้จริงหรือไม่ และเรียกบริษัทเพื่อตรวจสอบการจ่ายเงินและการเสียภาษี ซึ่งหลักฐานครบหมดและนี้เป็นวันสุดท้ายของการไต่สวน

"ผลของการตัดสินพรุ่งนี้ถ้าศาลเชื่อว่าพฤติกรรมของนายสมัครกระทำขณะดำรงตำแหน่งนายกตามฝ่ายผู้ร้องยื่นเรื่อง จะทำให้นายสมัครขาดคุณสมบัติตามมาตร 267 และ 182 ความเป็นรัฐมนตรีก็จะสิ้นสุดลงโดยกฎหมาย แต่ผมอยากรู้ว่าที่นายสมัครชอบพูดว่าไม่ผิด แล้วถ้าศาลชี้ว่าผิดพรุ่งนี้นายสมัครจะตอบว่ายังไง" นายประพันธ์กล่าวและว่า ปัญหาคือถ้านายสมัครสิ้นความเป็นรัฐมนตรีแล้ว ครม.จะต้องออกไปทั้งคณะหรือไม่นั้น ต้องดูตามมาตรา 180 ที่ระบุว่าครม.จะต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา182 เท่ากับว่าครม.ทั้งคณะตายตามกันไปด้วย อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลว่าจะวินิจฉัยไปเช่นไร

ตนอยากให้ทำใจและเคารพศาล เพราะคำวินิจฉัยอาจจะไปในทางที่นายสมัครทำผิดหรือไม่ผิดก็ได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยตามกระบวนการของกฎหมาย

"คืนนี้อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ได้เพราะนายสมัครอาจจะรู้ชะตากรรม เขาอาจจะขอยุบสภาเสียก่อนก็ได้ซึ่งนายสมัครมีเวลาก่อน 14.00 น. ของวันพรุ่งนี้ แต่อย่างไรก็ตามแม้นายสมัครจะตัดสินใจยุบสภา แต่ผมก็เชื่อว่าศาลก็ยังวินิจฉัยคดีชิมไปบ่นไปอยู่เช่นกัน ดังนั้นพรุ่งนี้ต้องใจจดจ่อกับคดี และไม่ประมาทว่านักการเมืองรุ่นเก่ากำลังทำอะไรกับบ้านเมือง ซึ่งคนพวกนี้ไม่เคยทำอะไรดีกับบ้านเมือง ดังนั้นสถานการณ์การเมืองต่อจากนี้สำคัญว่าแกนนำพันธมิตรจะมีแนวทาวในการต่อสู้อย่างไรก็ขอให้ติดตาม "นายประพันธ์กล่าว

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า สิ่งหนึ่งต้องยอมรับว่าพวกนักการเมืองพวกนี้ไม่ยอมหยุดดิ้นรนที่จะอยู่ในอำนาจ แม้หลายฝ่ายจะหาทางออกให้ และคนที่ทำตัวน่าเกลียดที่สุดคือคนที่เกิดแตกคอกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแล้วจากนั้นก็ออกมาตั้งพรรคประชาราชกับนายประมวล รุจนะเสรี แถมยังทำตัวเป็นองคุลีมารกลับตัวแล้วสุดท้ายก็กลับไปซุกระบอบทักษิณเหมือนเดิม

"คนนั้นคือนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ซึ่งเป็นคนที่เสนอในที่ประชุมให้ใช้ความรุนแรงมาจัดการกับพี่น้อง และนักการเมืองอย่างนายสมัคร นายเสนาะ นายสนั่น นายบรรหาร ปัจจุบันคือไดโนเสา ที่ควรจะหมดจากยุคนี้แล้วเพราะเป็นขยะและสวะกับประเทศ เขาไม่เคยสำนึกเลยว่าบ้านเมืองอยู่ในภาวะเช่นใด และหากนายสมัครพ้นจากตำแหน่งนายกไปพวกนี้จะเป็นกระสือที่เที่ยวหาคนมาเป็นนายกคนต่อไป แต่ไม่ต้องห่วงเพราะคนพวกนี้ถูกส่งคดียุบพรรคหมดแล้ว

“เด็กรามฯ โวย พปช.ดิสเครดิต

นายสิกขนันท์ หนูเล็ก อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และผู้ประสานเครือข่ายพลังนักศึกษาเพื่อสังคม กล่าวถึงกรณีที่พรรคพลังประชาชนออกมาระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ว่า การพูดแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เราแปลกใจ เพราะเป็นการเล่นเกมการเมืองของพรรคพลังประชาชน พยายามทำลายความชอบธรรมของขบวนการเคลื่อนไหวของนักศึกษาประชาชน แต่ที่น่าเศร้าใจคือคำพูดเหล่านี้หลุดมาจากปากของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน ที่เคยเป็นนักกิจกรรมรามคำแหง ทำไมต้องคิดว่าทุกคนต้องเคลื่อนไหวเพราะผลประโยชน์เหมือนคุณหมด นายจตุพร เคยถามสักคำหรือไม่ว่านักศึกษาที่ถูกยิงบาดเจ็บ มีอาการเป็นอย่างไร เป็นตายร้ายดีอย่างไร มีแต่มุ่งโจมตีว่ามีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลัง ทั้งๆที่คนที่พยายามจะอยู่เบื้องหลังกิจกรรมของนักศึกษาคือนายจตุพร นั่นเอง โดยเย็นวานนี้ (8 ก.ย.) เวลาประมาณ 17.00 น.มีการชุมนุมใหญ่ที่หน้า ม.รามคำแหง เพื่อเรียกร้องให้นายสมัคร ยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และลาออกจากตำแหน่งไป

ทั้งนี้ นายสิกขนันท์ได้อ่าน แถลงการณ์ ฉบับที่ 4 ความว่า จากการเหตุการณ์ที่นักศึกษารามคำแหง ในนามเครือข่ายพลังนักศึกษา ม.รามคำแหง 2 คน ถูกมือปืนลอบยิงบาดเจ็บคืนวันที่ 4 กันยายน 2551 ระหว่างการเดินขบวนจากหน้ามหาวิทยาลัยไปยังบ้านนายสมัคร สุนทรเวช ถ.นวมินทร์ เพื่อเรียกร้องให้พิจารณาตัวเองลาออกหรือยุบสภา นับเป็นความรุนแรงอีกครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภายใต้การบริหารงานของนายสมัคร ต่างกันตรงที่ว่า ครั้งนี้เกิดขึ้นกับนักศึกษาโดยตรงเจาะจงมาที่รามคำแหงนี้

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ฝ่ายรัฐ คงหวังว่าจะปราบนักศึกษาที่จะออกมาเคลื่อนไหวได้ แต่รูปการหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา นักศึกษาและองค์กรต่างๆ ทั่วประเทศต่างพากันรุมประณามผู้ที่ก่อเหตุตลอดจนผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้อย่างรุนแรง ผนวกกับมีข้อเสนอให้นายสมัครพิจารณาตัวเองลาออกไปอย่างเข้มข้น ซึ่งกลายเป็นภาพคนละด้านกับที่ฝ่ายรัฐคาดหวัง

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีความพยายามชี้นำให้รูปคดีเน้นหนักไปที่ประเด็นผู้ไม่พอใจที่มีการเดินขบวน ซึ่งสวนทางกับข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง เพราะตลอดการเดินเท้าจากหน้ารามไปนั้น ได้รับเสียงปรบมือเป็นระยะๆ และมีผู้คนสองข้างทางตะโกนตอบรับ “สมัครออกไปๆ” อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มีการนำน้ำดื่มมาบริจาคเป็นจำนวนมากพร้อมเงินบริจาคอีกจำนวนหนึ่ง โดยไม่ปรากฏร่องรอยของความไม่พอใจจากการเดินขบวนตามที่ถูกชี้นำประเด็นแต่อย่างใด และเรายังเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเตรียมการกันไว้อย่างเป็นขั้นตอน เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูมากกว่า

ในวันนี้มีคนของรัฐบาลทั้งระดับรัฐมนตรีและส.ส.ฝ่ายรัฐบาลบางคน ออกมากล่าวป้ายสีพยายามเชื่อมโยงเอาการเคลื่อนไหวของนักศึกษาไปผูกกับพรรคฝ่ายค้าน กล่าวกันอย่างง่ายๆ เพียงแค่นักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหวซึ่งเป็นคนภาคใต้เสียส่วนใหญ่นั้น เป็นคนกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับพรรคฝ่ายค้าน เป็นวิธีคิดระดับผู้นำที่น่าละอายยิ่ง แทนที่จะเป็นห่วงอาการของนักศึกษาหรือความปลอดภัยของน้องๆ ลูกหลาน กลับหยิบไปเป็นเงื่อนไขของการโจมตีกันทางการเมือง โดยใช้นักศึกษาเป็นเหยื่อ ซึ่งเราหวังว่าพฤติกรรมเช่นนี้ คงจะยุติในเร็ววัน

สุดท้ายนี้ เครือข่ายฯ ขอยืนยันจุดยืนในการเคลื่อนไหวบนหลักสันติวิธี ด้วยการขอเรียกร้องให้เพื่อนนักศึกษาทั่วประเทศออกมาแสดงพลังเคลื่อนไหวกดดันให้นายสมัคร สุนทรเวชพิจารณาตัวเอง ลาออกหรือยุบสภา และเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติหยุดเป็นทาสนักการเมือง ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เร่งหาคนผิดมาลงโทษโดยเร็วที่สุดก่อนเหตุการณ์จะบานปลายกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เพราะบ้านเมืองไร้ซึ่งความยุติธรรม และเราจะเคลื่อนไหวคัดค้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉินอัปยศ และคัดค้านประชามติฟอกตัวของรัฐบาลในทุกรูปแบบ

ม.สงขลาติดป้ายผ้าดำไล่"หมัก"

ส่วนบรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่วานนี้พบว่า หลายคณะได้นำป้ายผ้าสีดำ เขียนข้อความเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก เพื่อเป็นทางรอดของสังคมไทย พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

นอกจากนั้นกลุ่มอาจารย์ นักศึกษา และบุคลากรบางส่วนของมหาวิทยาลัย ยังได้ประกาศจุดยืน ในการร่วมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก และเข้าร่วมชุมนุมกับเครือข่ายพันธมิตรฯ อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯสงขลา จนถึงขณะนี้ยังคงปักหลักชุมนุมอย่างสงบอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่ทุกวัน โดยในช่วงกลางวันจะถ่ายทอดสดการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล ส่วนช่วงกลางคืนจะมีการไฮปาร์กของแกนนำและนักวิชาการก็ยังคงมีประชาชนให้ความสนใจมาร่วมชุมนุมอย่างหนาแน่นทุกวัน

หมอพันธมิตรชี้ผู้ชุมนุมป่วยเล็กน้อย

น.พ.เกรียงศักดิ์ หลิวจันทร์พัฒนา อดีตอาจารย์คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานคริน ในฐานะแพทย์ดูแลซุ้มยาประจำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยถึงกรณีที่มีผู้ป่วยมาขอรับยารักษาโรคตั้งแต่พันธมิตรเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลว่า ตั้งแต่ที่กลุ่มพันธมิตรฯมาอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลโดยขณะนี้เป็นเวลา 14 วันมีผู้ชุมนุมที่มีอาการเจ็บป่วย เช่น เจ็บคอ ปวดหัว เป็นหวัด ปวดเมื่อย เราก็จะจ่ายยาประเภทยาพาราเซตามอล ยาอมแก้เจ็บคอ วิตามินซี เป็นต้น ก็มีผู้รับยา มากถึงวันละ 200 ราย ต่อวัน ส่วนผู้ที่ไม่สบายมีโรค ประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดัน หอบหืด โรคหัวใจ จะมีผู้ป่วยมารับยาประมาณ วันละ 30 รายต่อวัน และนอกจากนี้ยังมีผู้ชุมนุมที่ต้องพบแพทย์ที่จุดปฐมพยาบาลด้านหน้าสำนักงานป.ป.ช. ประมาณ 100 คน ต่อวัน โดยเรามีเตียงเพื่อตรวจคนไข้ และมีการทำประวัติคนไข้เช่นเดียวกับโรงพยาบาล โดยมีเวลาของการให้บริการตั้งแต่เช้าไปจนถึงเวลา 24.00น. โดยมีคณะผู้ที่ให้การรักษา ก็มี แพทย์และพยาบาลอาสา ให้การดูแลอย่างดี อย่างไรก็ตามการชุมนุมในพื้นที่ชื้นแฉะและเป็นโคลนตมในทำเนียบก็มีคนผู้ป่วยที่มีอาการเท้าเป็นเชื้อรา แต่เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้ (9 ก.ย.) เวลา 13.00 น.กลุ่มบรรพชิตที่ห่วงใยสถานการณ์บ้านเมืองประกอบด้วยพระไพศาลวิสาโล พระศรีญาณโสภณ พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี) และแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต เปิดแถลงข่าว "บิณฑบาตอาวุธและความรุนแรง" ณ อาคารองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ซึ่งตั้งอยู่ภายในสวนเบญจสิริ (ด้านหลัง) ถนนสุขุมวิท.
กำลังโหลดความคิดเห็น