ความเหนือชั้นด้านเทคโนโลยีขั้นสูงของมหาวิทยาลัยเอกชน 8 แห่งที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการในสหรัฐอเมริกาหรือไอวีลีก ( U.S. Ivy League ) กำลังถูกมหาวิทยาลัยชิงหวาของรัฐบาลจีนท้าทาย
การแข่งขันชิงความเหนือกว่าด้านปัญญาประดิษฐ์ ( AI ) ระหว่างสองชาติมหาอำนาจมิได้อยู่แค่ในซิลิคอนแวลลีย์กับเซินเจิ้นเท่านั้นแต่มหาวิทยาลัยต่างๆ ก็เป็นสังเวียนการแข่งขันอีกด้วย
มหาวิทยาลัยชิงหวาเป็นขุมกำลังสำคัญด้านAI ที่รัฐบาลจีนสร้างมาอย่างต่อเนื่อง
ขุมกำลังแห่งนี้ผลิตเอกสารวิจัยด้าน AI ซึ่งได้รับการอ้างอิงมากที่สุดในโลก 100 ฉบับ มากกว่าสถาบันการศึกษาอื่นๆ นอกจากนั้นมหาวิทยาลัยยังสร้างสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับ AI มากกว่าสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ( MIT) มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พรินซ์ตัน และฮาร์วาร์ดรวมกันในแต่ละปีอีกด้วย มหาวิทยาลัยเหล่านี้อยู่ในไอวีลีก
นอกจากนั้น นักวิจัยของชิงหวาได้ยื่นจดสิทธิบัตรด้าน AI และแมชชีนเลิร์นนิ่งจำนวน 4,986 ฉบับในระหว่างปี 2548 ถึงสิ้นปี 2567 และอีกกว่า 900 ฉบับเมื่อปีที่แล้ว ตามข้อมูลของเล็กซิสเน็กซิส (LexisNexis) ซึ่งเป็นบริษัทข้อมูลชั้นนำและวิเคราะห์โดยบลูมเบิร์ก
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯยังครองความเหนือชั้น เมื่อดูจากการถือครองสิทธิบัตรด้าน AI ซึ่งได้รับความนิยมแพร่หลายมากที่สุดหลายฉบับ อีกทั้งสามารถผลิต "โมเดล AI ที่โดดเด่น" จำนวน 40 รุ่นขณะที่จีนผลิตได้เพียง 15 รุ่น ตามรายงานดัชนี AI ปี 2025 ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
ข้อมูลของศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษานานาชาติระหว่างประเทศ ( CSIS) ระบุว่า จีนมีนักศึกษาสาขา STEM สำเร็จการศึกษา 3 ล้าน 5 แสน7หมื่นคนในปี 2563 เทียบกับ 8 แสน 2 หมื่นคนในสหรัฐฯ สื่อของทางการจีนรายงานว่าจำนวนนี้อาจสูงถึง 5 ล้านคนต่อปี (ประชากรจีนมากกว่าสหรัฐฯถึง 4 เท่า)
จีนสร้างกำลังคนด้านเทคโนโลยีจำนวนมหาศาลได้ก็ด้วยยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยี ที่เริ่มสอนพื้นฐาน AI ให้กับนักเรียนตั้งแต่อายุ 6 ขวบ
ในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ โรงเรียนในกรุงปักกิ่งยังเปิดสอนหลักสูตร AI อย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อปีการศึกษา ครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น การใช้แชตบอทและเครื่องมืออื่นๆ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยี และจริยธรรมของ AI
ด้านบริษัทเทคโนโลยีอเมริกันรีบคว้าตัวผู้มีความรู้ความสามารถชาวจีนทันที
หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์รายงานว่า ห้องปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง (Superintelligence Lab) แห่งใหม่ของMeta ซึ่งมุ่งสร้างเครื่องจักรที่ทรงพลังยิ่งกว่าสมองมนุษย์ นักวิจัยผู้ก่อตั้งทั้ง 11 คนล้วนมีการศึกษานอกสหรัฐฯ และมี 7 คนเกิดในจีน
ผลการศึกษาของสถาบันพอลสันปี 2563 พบว่า ในจำนวนนักวิทยาศาสตร์ด้านAIชั้นนำ 100 คนของโลกนั้นเป็นนักวิจัยAIชาวจีนมากถึงเกือบหนึ่งในสาม ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานให้กับมหาวิทยาลัยและบริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ โดยร้อยละ 87 ยังคงทำงานในสหรัฐฯต่อไป แม้มีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มสูง งานวิจัยติดตามผลของมูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศระบุ
ด้วยความรุดหน้าด้านAIเหล่านี้ของจีนจึงไม่แปลกที่เจนเซ่น หวง ซีอีโอของบริษัทอินวิเดียจะออกมาส่งสัญญาณเตือนภัยเมื่อต้นเดือนว่า จีนกำลังไล่ตามสหรัฐฯเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วในการแข่งขันชิงความเหนือกว่าด้านAI และการผงาดขึ้นมาอย่างฉับพลันของ DeepSeek บริษัทสตาร์ตอัปน้องใหม่สายเลือดมังกรเมื่อต้นปีแสดงให้เห็นแล้วว่าดุลอำนาจสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเพียงใด
ข้อมูล : ฟอร์จูน


