xs
xsm
sm
md
lg

ยากมากที่‘อุตสาหกรรมการผลิตสหรัฐฯ’จะสลัดพ้น ไม่ต้องพึ่งพา‘จีน’จนเกินไปอย่างในเวลานี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โดย เออร์บัน ซี. เลห์เนอร์


โรงงานอุตสาหกรรมการผลิตอเมริกันจำนวนาก รวมไปถึงพวกที่กำลังทำผลิตภัณฑ์ไฮเทคด้วย ต่างมีจุดอ่อนที่อาจจะถูกตัดขาดไม่ได้รับส่วนผสมและชิ้นส่วนสำคัญ ๆ ซึ่งผลิตมาจากประเทศจีน
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/11/us-manufacturers-face-higher-chinese-hurdles-than-soybean-farmers/)

US manufacturers face higher Chinese hurdles than soybean farmers
by Urban C. Lehner
11/11/2025

วิธีการซึ่งเกษตรกรปลูกถั่วเหลืองชาวอเมริกัน จะแก้ปัญหาเรื่องที่ต้องพึ่งพาการสั่งซื้อของจีนมากจนเกินไปแล้ว ย่อมทำได้ด้วยการหาตลาดใหม่ๆ ซึ่งไม่ถึงกับเป็นเรื่องยากเย็นเกินไป แต่การที่จะฟื้นฟูชุบชีวิตอุตสาหกรรมการผลิตสหรัฐฯขึ้นมาใหม่ จำเป็นต้องมีการทำงานร่วมกับเหล่าชาติพันธมิตรเพื่อเอาชนะความได้เปรียบของจีนในเรื่องที่พวกเขามีขนาดอันใหญ่โตซึ่งช่วยให้ประหยัดลดต้นทุนลงไปได้

เกษตรกรปลูกถั่วเหลืองชาวอเมริกันไม่ใช่เป็นกลุ่มเดียวที่อยู่ในสภาพต้องพึ่งพาอาศัยประเทศจีนมากเกินไปแล้ว จนกระทั่งสร้างอันตรายให้แก่ตัวเอง พวกโรงงานอุตสาหกรรมอเมริกันจำนวนมากก็อยู่ในสภาพอย่างเดียวกัน ในวิถีทางที่ผิดแผกแตกต่างออกไป

ปกติแล้ว จีนเป็นผู้ซื้อถั่วเหลืองส่งออกสหรัฐฯเป็นปริมาณถึงราวๆ ครึ่งหนึ่ง จึงทำให้พวกเขามีอำนาจที่จะสร้างความเจ็บปวดด้วยการรั้งรอการรับซื้อเอาไว้ ซึ่งก็เป็นพลังอำนาจที่พวกเขาสำแดงออกมาให้เห็นกันในช่วงเวลาต่างๆ จำนวนมากตลอดปีนี้

แต่สำหรับพวกอุตสาหกรรมการผลิตสหรัฐฯแล้ว ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า จีนคือแหล่งที่มาเพียงแหล่งเดียวหรือไม่ก็เป็นแหล่งที่มาแหล่งหลัก ของส่วนผสมและของส่วนประกอบต่างๆ ที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้เพื่อนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์

ตัวอย่างที่ปรากฏอยู่ในข่าวระยะหลังสุดนี้ ได้แก่แร่แรร์เอิร์ธ [1] จีนเป็นผู้ผลิตแร่ธาตุโลหะเหล่านี้คิดเป็นประมาณ 97% ของผลผลิตโลก โดยที่แร่ธาตุเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ในการทำพวกผลิตภัณฑ์ไฮเทค อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ, ฮาร์ดไดรฟ์คอมพิวเตอร์, เลเซอร์, ตลอดจนระบบเรดาร์และระบบโซนาร์

แร่แรร์เอิร์ธกลายเป็นข่าวขึ้นมา เนื่องจากจีนจำกัดการส่งออกเพื่อเป็นการตอบโต้เอาคืนการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้าจีนอย่างสูงลิ่ว ถึงแม้การจำกัดกีดกั้นเช่นนี้ถูกระงับเอาไว้แล้วเป็นการชั่วคราวระยะเวลา 1 ปี โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง [2] ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เจรจาทำกันได้สำเร็จเมื่อไม่นานมานี้

อย่างไรก็ดี แรร์เอิร์ธไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวหรอกที่พวกโรงงานอุตสาหกรรมอเมริกันต้องพึ่งพาอาศัยจีน ความเป็นจริงนั้นมันเป็นเรื่องตรงกันข้ามทีเดียว ลองพิจารณารายชื่อแร่ธาตุที่จีนมีฐานะเป็นผู้ครอบงำการผลิตเหล่านี้ ซึ่งนี่เป็นการหยิบยกขึ้นมาแค่ส่วนน้อยนิดแบบผิวเผินเท่านั้นนะครับ – กราไฟต์ (graphite), แกลเลียม (gallium), เจอร์มาเนียม (germanium), แมกนิเซียม (magnesium), ทังสเตน (tungsten), แม่เหล็กถาวร (permanent magnets), โพลีซิลิคอน (polysilicon)

ความสำคัญของแร่ธาตุเหล่านี้นั้น จะพูดอวยกันขนาดไหนก็ไม่ถือว่าเกินเลย ถ้าหากไม่มีกราไฟต์ ก็ไม่สามารถทำแบตเตอรีลิเธียม-ไอออนได้ ถ้าหากไม่มีแกลเลียมและเจอร์มาเนียม มันจะไม่มีอุตสาหกรรมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์, สายไฟใยแก้วนำแสง (ไฟเบอร์ออปติก), และระบบอินฟราเรดต่างๆ, ถ้าหากปราศจากทังสเตน คุณก็ไม่สามารถทำดอกสว่านเจาะ หรือเครื่องมืออุปกรณ์ตัดที่ใช้ในวงการอุตสาหกรรม

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีพวกยาพวกเภสัชภัณฑ์ทั้งหลายด้วย ส่วนประกอบสำคัญทางเภสัชภัณฑ์ในยาหลายชนิดที่ชาวอเมริกันรับประทานกันอยู่ ส่วนใหญ่แล้วมาจากจีน เช่น ไอบูโพรเฟน (ibuprofen), อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen), ยาปฏิชีวนะบางชนิด, และยาลดความดันโลหิตบางชนิด นี่ขอยกตัวอย่างมาให้ดูกันแค่ส่วนน้อยส่วนหนึ่งเท่านั้น

บริษัทยาสหรัฐฯ ยังนำเข้าส่วนประกอบสำคัญสำหรับยาชนิดอื่นๆ จากอินเดียเช่นกัน แต่อินเดียต้องพึ่งพาจีนในการผลิตสารเคมีเพื่อใช้ทำส่วนประกอบเหล่านี้จำนวนมาก

เมื่อชาวอเมริกันซื้อของในร้านค้า พวกเขามักจะแสดงความคิดเห็นว่าสินค้าทุกชิ้นบนชั้นวางดูเหมือนจะมีป้ายระบุว่า "ผลิตในจีน" ไปเสียทั้งนั้น แต่นอกเหนือจากวัสดุและแร่ธาตุแล้ว ยังมีสินค้าอีกมากมายที่ไม่ได้ติดฉลากบอกไว้ ทว่าก็ผลิตในจีนเช่นกัน ตัวอย่างเช่น เซมิคอนดักเตอร์ประเภทที่ไม่ใช่ระดับล้ำหน้า ซึ่งใช้กันอยู่ในรถยนต์และสินค้าอุปโภคบริโภค จำนวนมากเลยมาจากจีน

เรื่องที่อเมริกา –และจริงๆ แล้วก็ทั่วทั้งโลกด้วยแหละ -พึ่งพาอาศัยจีนมากเกินไป ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในตอนนี้ การครอบงำห่วงโซ่อุปทานถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายด้านนโยบายอุตสาหกรรมของจีนมานานแล้ว จีนได้ทำงานอย่างหนักเพื่อลดการพึ่งพาประเทศอื่นๆ พร้อมกันนั้นก็ทำให้ประเทศเหล่านี้เพิ่มการพึ่งพาจีนมากขึ้น

ด้วยการให้พวกบริษัทในอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้งหลายได้รับการยกเว้นภาษี, ได้รับเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ, การอุดหนุนต่างๆ, และการคุ้มครองให้ไม่ต้องเผชิญการแข่งขันจากต่างประเทศ, จีนก็ได้ส่งเสริมสนับสนุนให้บริษัทของตนเอง สามารถพัฒนาความได้เปรียบจากเรื่องการประหยัดอันเกิดจากขนาด (economic of scale) แล้วต้นทุนที่ลดลงก็เปิดทางให้บริษัทเหล่านี้สามารถส่งสินค้าไปท่วมทะลักตลาดต่างประเทศ และทำให้คู่แข่งต่างชาติต้องเลิกกิจการ

ผลที่ตามมาคือจีนกลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่โตมโหฬารยิ่ง โดยหากใช้การคำนวณในบางวิธีแล้ว มันจะเท่ากับ 35% ของอุตสาหกรรมการผลิตของทั่วโลกทีเดียว แล้วจีนยังไม่ได้จำกัดความสนใจของตนอยู่แค่การประกอบสินค้าสำเร็จรูปขั้นสุดท้ายเท่านั้น แต่ยังได้ทำงาน –ซึ่งบ่อยครั้งทีเดียวก็ประสบความสำเร็จเสียด้วยอย่างเช่นในกรณีของแร่ธาตุแรร์เอิร์ธ-- ในการครองตลาดวัตถุดิบและส่วนประกอบต้นน้ำทั้งหลายอีกด้วย

กลยุทธ์ของจีนบางครั้งก็เกือบจะเข้าข่ายเป็นการล่าเหยื่อ ดังที่ข้อเขียนชิ้นหนึ่งในสื่อ วอลล์สตรีทเจอร์นัล [3] ซึ่งพูดถึงการมีอำนาจครอบงำเหนือแร่ธาตุแรร์เอิร์ธของจีน เอาไว้ว่า

เมื่อสหรัฐฯ พยายามวางแผนฟื้นฟูชุบชีวิตอุตสาหกรรมภายในประเทศของตนขึ้นมาใหม่ในช่วงไม่กี่ปีหลังๆ นี้ จีนได้ทุ่มอุปทานเข้าสู่ตลาดจนท่วมท้น ทำให้พวกผู้ผลิตฝ่ายตะวันตกตกอยู่ในอาการย่ำแย่อย่างฉับพลัน

แล้วเมื่อมูลค่าของพวกบริษัทแรร์เอิร์ธฝ่ายตะวันตกพากันร่วงลงอย่างหนัก จากราคาที่ตกต่ำอันเนื่องมาจากการผลิตที่พุ่งสูงขึ้นของจีน บริษัทเหล่านี้จึงถูกบังคับให้ต้องชะลอการขยายกิจการ และในบางกรณีก็ต้องขายเหมืองให้กับผู้ซื้อชาวจีน


วอชิงตันมีความตระหนักรับรู้เป็นอย่างดีแล้ว เกี่ยวกับอันตรายของการพึ่งพาจีนมากเกินไปเหล่านี้ คณะบริหารไม่ว่าจะของประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตหรือของประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ได้หันมาตอบโต้ด้วยการใช้นโยบายทางอุตสาหกรรม คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำหนดเป้าหมายเพื่ออุดหนุนภาคอุตสาหกรรมการผลิตของอเมริกา โดยผ่านการออกกฎหมายต่างๆ เช่น รัฐบัญญัติชิปส์ (Chips Act) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้วิธีขึ้นภาษีศุลกากรสูงๆ ในความพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกันนี้

พวกบริษัทอเมริกันที่มีความสามารถในการกระจายความเสี่ยง ต่างกำลังดำเนินการเช่นนี้กันอยู่ บริษัทที่ตั้งโรงงานผลิตอยู่ในจีนบางรายกำลังย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯหรือย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ

ปัญหาใหญ่ที่ความพยายามเหล่านี้ต้องเผชิญ คือข้อได้เปรียบอันเกิดจากขนาดของจีน ด้วยเหตุนี้ แอรอน ฟรีดเบิร์ก (Aaron Friedberg) จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน จึงยืนยัน [4] ว่า “ไม่มีประเทศใดเพียงประเทศเดียวที่สามารถรับมือกับ ภาวะช็อกจากจีนครั้งที่สอง (the second China shock) ครั้งนี้ได้” มิหนำซ้ำจีนยังกำลังมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ ในพวกเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดอีกด้วย

ฟรีดเบิร์กและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ เสนอแนะว่า คำตอบคือ ประเทศที่มีแนวคิดแบบเดียวกันควรร่วมมือกันและจับมือประสานนโยบายด้านภาษีศุลกากรและนโยบายอุตสาหกรรมอื่นๆ ของพวกตน แต่น่าเสียดาย ภายใต้การนำของทรัมป์ สหรัฐฯกำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยกำลังบังคับใช้ภาษีศุลกากรอัตราสูงๆ กับพวกพันธมิตรราวกับว่า ชาติพันธมิตรเหล่านี้ต่างหาก หาใช่จีนไม่ ที่เป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ที่ดีทางเศรษฐกิจของอเมริกา

ทั้งหมดเหล่านี้น่าจะเป็นการปลอบประโลมใจเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองได้บ้าง เพราะเมื่อเทียบกับพวกอุตสาหกรรมการผลิตแล้ว วิธีการแก้ปัญหาของชาวเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองนั้นตรงไปตรงมา พวกเขาเพียงแค่ต้องหาตลาดใหม่ๆ คงจะดีไม่น้อยหากการปัญหาให้แก่พวกอุตสากรรมการผลิตอเมริกัน สามารถทำได้ง่ายๆ อย่างนี้เช่นกัน

เออร์บัน เลห์เนอร์ เป็นบรรณาธิการเกียรติคุณ (editor emeritus) ของ นิตยสารการเกษตร DTN/The Progressive Farmer เขาเคยเป็นผู้สื่อข่าวและบรรณาธิการของ วอลล์สตรีทเจอร์นัลเอเชีย มาอย่างยาวนาน

เชิงอรรถ
[1]https://profession.americangeosciences.org/society/intersections/faq/what-are-rare-earth-elements-and-why-are-they-important/#:~:text=Information%20on%20this%20page%20was,laptops%20would%20not%20be%20possible
[2] https://asiatimes.com/2025/11/a-battlefield-report-neither-side-is-winning-us-china-trade-war/
[3] https://www.wsj.com/economy/trade/how-china-took-over-the-worlds-rare-earths-industry-fb668839?mod=article_inline
[4] https://www.dtnpf.com/agriculture/web/ag/blogs/an-urbans-rural-view/blog-post/2024/10/14/alone-together-best-forestall-coming-2
กำลังโหลดความคิดเห็น