xs
xsm
sm
md
lg

โตโยต้าลุย EV สหรัฐ เปิดตัวรถ 7 รุ่นใหม่-ขยายโรงงานแบต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ขณะที่นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Donald Trump กลายเป็นเรื่องชวนหัว ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US Court of International Trade) มีคำตัดสินว่า คำสั่งของประธานาธิบดี Trump ที่ใช้กฎหมายภาวะฉุกเฉินเพื่อเก็บภาษีนำเข้าแบบครอบคลุมทั่วโลก “ขัดต่อกฎหมาย” และอาจจะไม่ได้สร้างผลกระทบต่อเนื่องในอุตสาหกรรมยานต์อีกต่อไป หลังจากสร้างความปั่นป่วนมานานถึง 2 เดือนเต็มหลังจากที่มีการประกาศใช้ แต่ก็ต้องบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทรถยนต์จากต่างแดนเริ่มมีมุมองที่เปลี่ยนไป

โตโยต้า ซึ่งได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เริ่มมีวิธีคิดใหม่ และไม่ได้มองว่าฐานการผลิตของพวกเขาในสหรัฐอเมริกามีขึ้นเพื่อรองรับกับความต้องการภายในประเทศหรือภูมิภาคนี้เท่านั้น แต่ยังมองถึงเรื่องของการส่งออกไปยังส่วนอื่นๆ ของโลก เรียกว่ามีการปรับแนวคิดเพื่อความยืดหยุ่น โดยเฉพาะรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV ที่จะเริ่มทำตลาดในสหรัฐอเมริกาในปีหน้า


2 รุ่นพร้อมผลิตในเมืองลุงแซมลุยแน่ปีหน้า


แม้ว่าตลาดสหรัฐอเมริกาจะมีการขยายตัวในเรื่องของกลุ่มรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV ที่ค่อนข้างช้ามาก แต่ โตโยต้า ก็ไม่ลืมแผนการรุกตลาดรถยนต์แห่งนี้ซึ่งถือว่ายังน่าสนใจในแง่ของศักยภาพในด้านเศรษฐกิจและลูกค้า แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่ใช่ตลาดรถยนต์เบอร์ 1 ของโลกในแง่ของยอดขายแล้วก็ตาม

โตโยต้า วางแผนเปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาช่วงปีนี้และปีหน้าออกเป็น 2 ช่วงด้วยกัน คือ นำเข้า 3 รุ่นในช่วงแรก ซึ่งตอนแรกน่าจะได้รับผลกระทบจากการประกาศกำแพงภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Trump แต่ถึงตอนนี้แม้ว่าจะยังไม่ได้ข้อสรุป แต่เชื่อว่าไม่น่าจะส่งกระแทบใดๆ ต่อแผนการนี้ ส่วนอีกช่วงจะเป็นการผลิตในประเทศซึ่งจะเริ่มขึ้นในปีหน้า 2 รุ่น และอีก 2 รุ่นในปี 2027 ซึ่งเท่ากับว่าโตโยต้า จะมีรถยนต์พลังไฟฟ้าเปิดตัวในตลาดสหรัฐอเมริกา รวม 7 รุ่น ช่วงปี 2025-2027



สิ่งที่น่าสนใจคือ การประกาศแผนนี้ออกมาพร้อมกับเครื่องหมายคำถามว่าเป็นเพราะนโยบายในการทำตลาดถูกปรับเปลี่ยน หรือว่าโตโยต้า มองเห็นอะไรกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เนื่องจากโดยปกติแล้วโตโยต้า มักจะไม่ชอบเสี่ยง โดยจะไม่เพิ่มรุ่นใดๆ เข้าไปในโรงงาน เว้นแต่จะมั่นใจว่าสามารถขายได้ 100,000 ถึง 150,000 คันต่อปี แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า แม้ตลาดสหรัฐอเมริกาจะมีขนาดใหญ่ แต่เมื่อมองไปที่ส่วนแบ่งสำหรับตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าแล้ว ถือว่ามีอัตราการเติบโตที่ช้ามาก

คำถามนี้ได้รับการเฉลยจาก Cooper Ericksen รองประธาน Toyota Motor North America ที่ดูแลเรื่องการวางแผนและกลยุทธ์ ซึ่งให้สัมภาษณ์ว่า ‘ในแง่ของการผลิตในประเทศ โตโยต้าวางแผนในเรื่องยอดขายและการเติบโตอย่างที่เคยเป็นอยู่ แต่มีการปรับแนวทางในลักษณะที่ค่อยเป็นค่อยไป เราพร้อมที่จะโตไปพร้อมกับตลาด แต่ในอีกทางหนึ่ง เราก็ต้องมั่นใจด้วยว่า ทั้งสหรัฐอเมริกา และแคนาดาจะมีความต้องการรถยนต์พลังไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน จากนั้นจะมีการประเมิน และวางแผนในเรื่องของการส่งออกไปยังตลาดแห่งอื่นๆ ทั่วโลก’


ซัพพลายเชนก็ต้องขยายตัวตามด้วย

โตโยต้าไม่มีทางที่จะบรรลุเป้าหมายในเรื่องของการสร้างยอดขายรถยนต์พลังไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา รวมถึงการประกอบเพื่อส่งออกได้ หากไม่มีการวางแผนเรื่องซัพพลายเชนอย่างเป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเรื่องของแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนที่ถือเป็นหัวใจหลักของรถยนต์พลังไฟฟ้า

โตโยต้าเตรียมจัดส่งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนช่วงปลายปีนี้ จากโรงงานขนาดใหญ่ในเมืองลิเบอร์ตี้ รัฐนอร์ธแคโรไลนา ซึ่งมีพื้นที่กว่า 1,850 เอเคอร์ ในจำนวนสายการผลิต 14 สายของโรงงานแห่งนี้ 10 สายผลิตขึ้นสำหรับเซลล์แบตเตอรี่สำหรับใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนที่เหลือจะผลิตเป็นแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฮบริด นอกจากนั้นโรงงานแห่งนี้ยังจะรองรับการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ที่จัดไว้สำหรับใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าอีก 2 รุ่นที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาด้วย

คาดว่าสายการผลิตแบตเตอรี่ไฮบริดแห่งแรกของโรงงานแบตเตอรี่ใหม่นี้จะเริ่มดำเนินการในเดือนหน้า และสายการผลิตสายอื่นๆ จะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2034 บริษัทกล่าว โดยตั้งเป้าที่จะผลิตแบตเตอรี่ไฮบริดได้เกิน 30 กิกะวัตต์ชั่วโมงที่กำลังการผลิตเต็มที่ หรือเทียบเท่ากับแบตเตอรี่ไฮบริด 800,000 ชุด แบตเตอรี่ไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก 150,000 ชุด และแบตเตอรี่รถยนต์พลังไฟฟ้าล้วนจำนวน 300,000 ชุด


มั่นใจตลาด BEV เมืองลุงแซมเริ่มขยับตัว

การเปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้จะช่วยเติมเต็มคำมั่นสัญญาของบริษัทในการนำเสนอตัวเลือกแบบไฟฟ้าสำหรับทุกรุ่นที่ผลิตทั่วโลกภายในปีนี้ และจนถึงขณะนี้ รถยนต์ของโตโยต้า และเลกซัส ที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเกือบ 80% เป็นแบบไฮบริดรุ่นต่างๆ และรถยนต์พลังไฟฟ้ารวมกัน

อย่างไรก็ตาม ตามรายงานของ Kelly Blue Book ของ Cox Automotive ในปีที่แล้ว ยอดขายรถยนต์พลังไฟฟ้าทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 7.3% โดยมียอดจำหน่ายประมาณ 1.3 ล้านคัน แต่โตโยต้าส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าล้วนในสหรัฐอเมริกาไม่ถึง 30,000 คันในปี 2024 แม้ว่ายอดขายรถยนต์ไฮบริดจะพุ่งสูงขึ้นก็ตาม

ที่ผ่านมาโตโยต้า เดินเกมรุกตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าช้ากว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ ผลคือ พวกเขาไม่เพียงแต่จะต้องเสียส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังต้องสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ไฮบริด และรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในให้กับกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่ลังเลและเปลี่ยนใจไป พร้อมกับหันไปซื้อรถยนต์พลังไฟฟ้าของแบรนด์คู่แข่งที่มีอยู่ในตลาด ทั้ง จีเอ็ม,เทสล่า และ ฮุนได


แต่ภายในปี 2030 ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาจะขยายตัวอย่างมาก และส่วนแบ่งในตลาดประเภทนี้ของแบรนด์จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจากปี 2024 อย่างแน่นอน

‘BEV ในปัจจุบัน อาจจะไม่ได้ทำยอดขายในเชิงตัวเลขเป็นกอบเป็นกำ แต่การเมินตลาดกลุ่มนี้จะส่งผลร้ายต่อเราอย่างแน่นอน ดังนั้น เราต้องหันกลับมามองใหม่ ในอนาคต เราคิดว่ามันเป็นกลุ่มตลาดที่สำคัญจริงๆ ที่เราไม่ต้องการยอมเสียให้กับคู่แข่ง’ Ericksen กล่าว

และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ โตโยต้า จะต้องมีโปรดักต์ที่โดนและใช่ออกมาด้วย ซึ่งจากการเปิดเผยของแบรนด์มีการยืนยันว่า นอกเหนือจาก bZ4X ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน และจะเปลี่ยนชื่อเป็น bZ ในเร็วๆ นี้ และ Lexus RZ ที่กำลังจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันแล้ว ในปีหน้า โตโยต้า ยังเตรียมเพิ่มโมเดลรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าอีก 3 รุ่น ได้แก่ bZ Woodland, CH-R แบบครอสโอเวอร์ และ Lexus ES แบบไฟฟ้า


โรงงานที่เมืองจอร์จทาวน์ มลรัฐเคนตักกี้ ซึ่งถือเป็นไลน์การผลิตขนาดใหญ่ระดับ 550,000 คันต่อปีของโตโยต้า จะรับหน้าที่เป็นหนึ่งในสายการผลิตสำหรับรถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นใหม่ของ โตโยต้า ซึ่งตามปกติแล้วที่นี่จะผลิตทั้ง RAV4, Camry และ Lexus ES ซึ่งตอนนี้ปรับมาใช้ขุมพลังแบบไฮบริดกันหมดแล้ว

ขณะเดียวกันอีกไลน์ผลิตที่โรงงานในเมืองพรินซ์ตัน มลรัฐอินเดียนา ที่รับหน้าที่ประกอบรถยนต์อเนกประสงค์ไซส์ใหญ่อย่าง Highlander, Grand Highlander และ Sienna ซึ่งมีกำลังการผลิตราวๆ 330,000 คันต่อปี ก็จะเข้ามาช่วยในเรื่องของการผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นใหม่ของแบรนด์ด้วยเช่นกัน

ถือเป็นการขยับตัวครั้งใหม่ที่น่าจับตามองสำหรับ โตโยต้า ในการแสดงให้เห็นถึงภาพที่ชัดเจนต่อการทำตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าอย่างเป็นเรื่องเป็นราว หลังจากที่ผ่านมามีเพียงแค่การแถลงในเชิงนโยบายออกมาเท่านั้น


กำลังโหลดความคิดเห็น