xs
xsm
sm
md
lg

New China Insights: พิธีรำลึกครบรอบ 80 ปีชัยชนะต่อต้านญี่ปุ่นของจีน ทำไมถึงสำคัญ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พิธีสวนสนามวันรำลึกครบรอบ 80 ปีของชัยชนะของประชาชนจีนในสงครามต่อต้านญี่ปุ่นวันที่ 3 กันยายน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง   (แฟ้มภาพซินหัว)
โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล

บาดแผลทางประวัติศาสตร์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นนั้น “บาดลึก ฝังนาน” ทั้งค่ายสื่อจีนและรัฐบาลจีนต่างเน้นย้ำประวัติศาสตร์อันแสนเจ็บปวดในอดีต สมัยที่ทหารญี่ปุ่นรุกรานและฆ่าคนจีนไปเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะในเมืองนานกิง (สงครามนานกิง 1937) ก็มีอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์สงครามญี่ปุ่นรุกรานแผ่นดินจีน ซึ่งมีรูปภาพที่น่าหดหู่มากมาย เพื่อให้คนจีนรุ่นหลังๆเป็นรับรู้เรื่องราวและจดจำสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในอดีต ผู้เขียนเองก็สังเกตว่า รัฐบาลจีนพยายามสื่อสารกับประชาชนในหลากหลายรูปแบบทั้งข่าวสาร สารคดี ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ ตำราเรียนประวัติศาสตร์ ต่างสอดแทรกเนื้อหาการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่น พร้อมกับเน้นย้ำว่า “ประวัติศาสตร์จะต้องไม่ถูกลืม”

“สงครามต่อต้านญี่ปุ่นโดยประชาชนจีน” เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1931–1945 เป็นการต่อสู้อันยาวนานทำให้ประชาชนชาวจีนต้องต่อสู้เอาชีวิตรอดอย่างยากลำบากทั้งมีเหยื่อสงครามที่บาดเจ็บและล้มตายนับแสนๆคน ในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1931 กองทัพญี่ปุ่นบุกโจมตีเมืองเสิ่นหยางและยึดครองมณฑลทั้งสามในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการรุกรานประเทศจีน

สงครามระหว่างจีนและญี่ปุนอย่างเต็มรูปแบบเริ่มจากข้อพิพาทในปักกิ่งเมื่อปี 1937 โดยเหตุที่จุดชนวนคือ กองทัพญี่ปุ่นที่เข้ามาซ้อมรบในจีนอ้างว่าทหารญี่ปุ่น 1 นายหายตัวไป และเรียกร้องจะเข้าไปค้นในเมืองหว่านผิง (ตะวันเฉียงใต้ของปักกิ่ง) แต่กองทัพจีนปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดการปะทะกัน ญี่ปุ่นใช้ปืนใหญ่ยิงใส่เมืองหว่านผิงและบุกโจมตีสะพานหลูโกวเฉียว หรือสะพานมาร์โคโปโล)

ฝ่ายกองทัพจีนได้ลุกขึ้นสู้กลับอย่างดุเดือด ในการต่อต้านญี่ปุ่นอย่างเต็มรูปแบบนี้เป็นร่วมมือกันระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์จีนในขณะนั้นด้วย (แต่คุณูปการของพรรคก๊กมินตั๋งไม่ได้ถูกจารึกชื่อในประวัติศาสตร์อย่างชัดเจน) อาจจะเป็นที่มาของคำว่า สงครามต่อต้านโดยประชาชนโดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย (全民抗战) และจนถึง "วันแห่งชัยชนะ" ในวันที่ 2 ก.ย.ปี 1945 ที่ญี่ปุ่นลงนามเอกสารยอมจำนนและถอยทัพกลับไป ถือเป็นการสิ้นสุดของสงครามต่อต้านญี่ปุ่นในจีนและสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเป็นทางการ (พิธีส่งมอบเอกสารยอมจำนนฯแก่ฝ่ายจีนมีขึ้นในวันที่ 9 กันยายน 1945 ณ เมืองนานกิง โดยตัวแทนกองทัพญี่่ปุ่นส่งมอบเอกสารยอมจำนนแก่ตัวแทนกองทัพจีน)

ภาพวาดประวัติศาสตร์ที่จีนวาดเลียนแบบ: เหตุการณ์ญี่ปุ่นมอบเอกสารยอมจำนนฯให้กับฝ่ายจีนเมื่อวันที่ 9 กันยายน 1945 ต่อมา จีนกำหนดวันที่ 3 กันยายน เป็น “วันแห่งชัยชนะ”  (ภาพจากโซเชียลจีน เวยปั๋ว)
การรำลึกสงครามต่อต้านญี่ปุ่นหลังจากที่สงครามได้ยุติลง แม้มีการจัดกิจกรรมรำลึกขึ้นในหลายพื้นที่ของจีน แต่ในระดับชาตินั้นยังไม่มีการกำหนดวันอย่างเป็นทางการอย่างแน่ชัด จนกระทั่งปี 2014 (ยุคสีจิ้นผิง เป็นผู้นำสูงสุด) ในการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ (NPC) ครั้งที่ 12 ได้ผ่านมติให้กำหนดวันรำลึกระดับชาติ 2 วัน คือ วันที่ 3 กันยายนของทุกปี เป็นวันรำลึกชัยชนะของประชาชนจีนในสงครามต่อต้านญี่ปุ่น และวันที่ 30 กันยายน เป็นวันรำลึกวีรชนผู้เสียสละเพื่อการปฏิวัติและการสร้างชาติ

ดังนั้น วันที่ 3 ก.ย. ปี 2014 จึงเป็นปีแรกของการจัดงานรำลึกชัยชนะของประชาชนจีนในสงครามต่อต้านญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการโดยมีผู้นำจีนเข้าร่วมและกล่าวสุนทรพจน์ เพื่อรำลึกและให้เกียรติทหารผ่านศึกและครอบครัววีรชน


ทำไมวันรำลึกชัยชนะของประชาชนจีนในสงครามต่อต้านญี่ปุ่นถึงสำคัญสำหรับจีน หลักๆคือ ในขณะนั้นมีประชาชนและทหารจีนต้องพลีชีพในสงครามกว่า 35 ล้านคน (ตัวเลขจากทางการจีน) และจีนต้องการปลุกกระแสรักชาติ สืบสานจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ต่อต้านญี่ปุ่น โดยกำหนดสโลแกนว่า “ความเป็นความตายของชาติเป็นภารกิจของทุกคน”, ความกล้าหาญยอมพลีชีพ ไม่ยอมจำนน และความเชื่อมั่นในชัยชนะไม่ว่าจะเผชิญความยากเย็นเพียงใด ก็ยังคงเป็นพลังทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่จวบจนปัจจุบัน

การจัดงานรำลึกฯอย่างยิ่งใหญ่ในแต่ละปีมีจุดประสงค์เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ต่อต้านการบิดเบือนและการปฏิเสธเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เพราะในการรุกรานของญี่ปุ่นยังมีการปฏิเสธข้อเท็จจริงบางอย่างที่จีนยืนยันว่าเป็นความจริง

ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง และกลุ่มผู้โลกที่เข้าร่วมพิธีสวนสนามรำลึก 80 ปี ของประชาชนจีนในสงครามต่อต้านญี่่ปุ่น กลุ่มที่ถูกจับตามากสุดคือ ผู้นำรัสเซีย เกาหลีเหนือ อินเดีย เป็นต้น (แฟ้มภาพซินหัว)
นอกจากนี้งานรำลึกฯนี้ในแต่ละปี จีนต้องการยืนยันต่อโลกว่าประชาชนจีนรักสันติภาพ มุ่งมั่นเดินบนเส้นทางการพัฒนาที่สันติ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความมุ่งมั่นและแสดงศักยภาพในการปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์แห่งชาติด้วย การหวนรำลึกถึงความยากลำบากเจ็บปวดในอดีต มีเป้าหมายเพื่อรวมพลังและสร้างเอกภาพในหมู่ประชาชนชาวจีน เพื่อฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของชาติในอนาคต

ในปีนี้เป็นวาระครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะของประชาชนจีนในการต่อต้านญี่ปุ่น เป็นกิจกรรมรำลึกที่มีความยิ่งใหญ่เพราะวาระครบรอบทุกปี 10 ปีจะมีพิธีรำลึกครั้งใหญ่ โดยพิธีฯนี้จะถูกจัดขึ้นที่มหาศาลาประชาชน จัตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง โดยมีผู้นำประเทศกล่าวคำปราศรัยสำคัญเพื่อรำลึกถึงประวัติศาสตร์สงคราม เชิดชูวีรชน ผู้นำพรรคฯจะเดินทางไปยังอนุสาวรีย์วีรชนประชาชน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน เพื่อวางพวงมาลา และมีการมอบเหรียญเครื่องหมายรำลึก “เหรียญครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะของประชาชนจีนในการต่อต้านญี่ปุ่น” ให้กับทหารผ่านศึก ผู้ร่วมรบ ผู้นำทัพต่อต้านญี่ปุ่นที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือครอบครัวทายาท เพื่อแสดงความเคารพและห่วงใยจากรัฐ

นอกจากนี้ยังมีการจัดสัมนาวิชาการระดับชาติ ในการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สงครามต่อต้านญี่ปุ่น พร้อมทั้งจัดแสดงนิทรรศการใหญ่ในพิพิธภัณฑ์ เช่น พิพิธภัณฑ์ทหารและพิพิธภัณฑ์สงครามต่อต้านญี่ปุ่น โดยนำเสนอสิ่งของ ภาพถ่าย และสื่อโสตทัศน์ มีการแสดงศิลปะและผลงานภาพยนตร์ จัดงานการแสดงพิเศษ รายการโทรทัศน์ สารคดี และภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับสงครามต่อต้านญี่ปุ่น เพื่อเผยแพร่และปลูกฝังจิตวิญญาณรักชาติผ่านงานศิลปะเหล่านี้

ฝูงเครื่องบินแสดงคำประกาศ “สันติภาพต้องชนะ”  “ประชาชนต้องชนะ” และ “ความยุติธรรมต้องชนะ” (แฟ้มภาพจากซินหัว)
ในส่วนของการสวนสนามแสดงแสนยานุภาพทางทหารของจีนเพิ่งจัดครั้งแรกในโอกาสครบรอบสงครามต่อต้านญี่ปุ่น 70 ปีเมื่อปี 2015 และครั้งนี้ปี 2025 ถือเป็นครั้งที่สอง ส่วนปีครบรอบก่อนหน้า เช่น 50 ปี และ 60 ปี จัดเพียงพิธีรำลึกฯอย่างยิ่งใหญ่ แต่ไม่ได้จัดกิจกรรมสวนสนามของกองทัพ

พิธีสวนสนามทางทหารในปีนี้ จัดวันที่ 3 ก.ย. นอกจากรำลึกชัยชนะต่อต้านการรุกรานญี่ปุ่นแล้ว ภายใต้ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์รอบด้านขณะนี้ ผู้เขียนมองว่าจีนใช้โอกาสนี้ประกาศต่อชาวโลกและส่งสารถึงผู้นำสหรัฐฯถึงความยิ่งใหญ่และศักยภาพทางการทหารจีน

การสวนสนามครั้งใหญ่ใช้เวลา 70 นาที มีการเผยโฉมขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงและกองกำลังไร้คนขับเป็นครั้งแรก โดยจัดขบวนในรูปแบบที่ใกล้เคียงการรบจริง เน้นย้ำสโลแกน “ความจริงทางประวัติศาสตร์ไม่อาจถูกบิดเบือน และสันติภาพจำเป็นต้องปกป้องด้วยพลังฯ”

ในกลุ่มผู้นำจาก 26 ประเทศที่เข้าร่วมพิธีฯปีนี้ ที่เป็นที่จับตาอย่างประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซีย ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ คิมจองอึน ก็มาร่วมพิธีด้วย (การที่ผู้นำจีนและรัสเซียเข้าร่วมงานสำคัญนี้พร้อมกันส่งสัญญาณถึงระบบพหุขั้วอำนาจของโลก) ส่วนคู่กรณีของไทยอย่างกัมพูชาก็เข้าร่วมพิธีฯ ทั้งฮุนมาเนตและกษัตริย์กัมพูชา

การสวนสนามรำลึกครบรอบ 80 ปีของ  “วันแห่งชัยชนะ” มีการเผยโฉมขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ๆเป็นครั้งแรก (แฟ้มภาพซินหัว)
สื่อจีนระบุว่า บทบาทสำคัญของการสวนสนามทางทหารครั้งนี้อยู่ที่การสาธิตกำลังทางทหารของจีนอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งอาจจะเปลี่ยนมุมมองของนานาชาติต่อจีน ทั้งยังต้องการสร้างความมั่นใจภายในประเทศและส่งสารไปยังภายนอก ทำให้โลกอาจจะต้องประเมินจีนใหม่

การสวนสนามทางทหารครั้งนี้มี อาวุธล้ำสมัยและการจัดขบวนรูปแบบใหม่ แสดงให้เห็นถึงการเตรียมพร้อมของกองทัพจีนต่อการทำสงครามในอนาคต เน้นที่ความสามารถ เครือข่ายอัจฉริยะและบูรณาการเป็นระบบ การสวนสนามครั้งนี้อาวุธใหม่ที่แสดงจะมีสัดส่วนสูงมาก โดยกองทัพจีนจะแสดงความทันสมัยของกองทัพ ตั้งแต่บก ทะเล อากาศ อวกาศ จนถึงเครือข่ายไซเบอร์ จีนระบุว่าการเปิดตัวอาวุธล้ำสมัยเหล่านี้ ไม่ใช่การอวดกำลังเพื่อข่มขู่ แต่เป็นการอธิบายว่า “สันติภาพต้องปกป้องด้วยกำลัง” เนื่องด้วยบริเวณช่องแคบไต้หวันและทะเลจีนใต้ มีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์แฝงอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งพันธมิตรสหรัฐ–ญี่ปุ่นจัดการซ้อมรบบ่อยครั้ง ทำให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น แต่จีนใช้การสวนสนามฯครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณถึงกองกำลังป้องกันประเทศของจีนที่เข้มแข็ง ดังนั้นการจัดงานรำลึกชัยชนะการต่อต้านการรุกรานจากญี่ปุ่นและพิธีสวนสนามทางการทหารที่ยิ่งใหญ่ ล้วนเป็นเรื่องของการส่งสัญญาณที่จีนต้องการส่งไปยังทำเนียบขาว!


กำลังโหลดความคิดเห็น