โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล , University of International Business and Economics
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคระบาดจากโควิด-19 ในประเทศจีนดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ละพื้นที่เริ่มที่จะคลี่คลายความเข้มงวดลงทำให้ประชาชนค่อยๆทยอยกลับมาใช้ชีวิต ทำงานอย่างปกติ ถึงแม้สถานการณ์ภายในประเทศจีนเองจะดีขึ้น แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดในต่างประเทศกลับสวนทางกัน โดยเฉพาะในทวีปยุโรป อย่าง อิตาลี สเปน การระบาดของโรครุนแรงและอัตราการตายสูงลิ่วจนน่าวิตก
ในทางสหรัฐอเมริกาในหนึ่งอาทิตย์มานี้จำนวนผู้ป่วยแต่ละวันก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าๆตัวอย่างรวดเร็วจนอัตราผู้ติดเชื้อสะสมสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดย ณ วันที่21 เม.ย. อเมริกามีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทะลุ 700,000กว่าคน
โควิด-19 มีแหล่งระบาดแรกในจีนและจีนเองก็ใช้ระยะเวลาเพียงสองเดือนกว่าในการยับยั้งการแพร่ระบาดในวงกว้างจนประสบผลสำเร็จ ในกระบวนการนี้เองจีนก็ค้นพบยาที่สามารถเอามาใช้ต้านไวรัสอย่างได้ผล การรักษาแบบแพทย์แผนจีนผสมผสานกับแผนปัจจุบันกำลังได้รับความสนใจจากชาติตะวันตก ดังนั้นเปรียบเสมือนว่าจีนเป็นผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนที่สุดในการหาวิธีมาต่อสู้กับไวรัสชนิดนี้ ประสบการณ์จริงและงานวิจัยต่างๆของจีนที่บันทึกและตีพิมพ์ เป็นข้อมูลอย่างดีในการอ้างอิงของหลายประเทศทั่วโลก
ขณะที่สถานการณ์ของจีนเริ่มดีขึ้นแต่สถานการณ์แพร่ระบาดทั่วโลกกำลังเลวร้าย ประเทศในแถบยุโรปอย่าง อิตาลี สเปน เป็นประเทศที่มีอัตราการตายสูงลิ่ว(ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์)หลายประเทศประสบปัญหาระบบสาธารณสุขล่ม ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากต้องนอนรอเตียงโรงพยาบาลที่บ้าน บางคนเสียชีวิตในระหว่างที่รอ
มาถึงตอนนี้ในจีนเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติพร้อมกับกำลังผลิตต่างๆด้านเครื่องมือแพทย์เริ่มฟื้นฟูและมีมากขึ้น จีนก็ยินดีที่จะยื่นมือช่วยเหลือประเทศอื่นที่ประสบความยากลำบาก การช่วยเหลือของจีนมีหลายแบบ ทั้งบริจาคสิ่งของพร้อมส่งผู้เชี่ยวชาญ แชร์ประสบการณ์การรักษาแบบใช้ยาจีนผสมผสาน เป็นต้น ซึ่งก็มีผู้เชี่ยวชาญในหลายประเทศเข้าร่วมการประชุมกับจีนหลายครั้ง ทั้งขอคำแนะนำและแลกเปลี่ยนประสบการณ์
ด้านการช่วยเหลือต่างประเทศให้ผ่านวิกฤติโควิด-19 จีนมีบทบาทโดดเด่นขึ้น อย่างเช่นประเทศอิหร่านในตอนที่จีนประสบปัญหาหนัก ได้เป็นประเทศแรกๆที่เสนอยื่นมือช่วยเหลือจีน ส่งหน้ากาก N95 และสิ่งของจำเป็นอื่นๆ สื่อจีนใช้คำว่า “雪中送炭”(Xue Zhong Song Tan อ่านว่า เสวี่ยจงซ่งทั่น)แปลตรงตัวได้ว่า ส่งถ่านหินในวันที่หิมะตก ความหมายนัยยะคือยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในวันที่ต้องการความช่วยเหลือ ในวันนี้อิหร่านประสบความยากลำบากที่ต้องรับมือกับโรคโควิด จีนก็เป็นชาติแรกๆที่เสนอเข้าไปช่วยเหลือ โดยบริษัทจีนในอิหร่านพร้อมสถานทูตจีนได้มอบหน้ากากอนามัยให้แก่สาธารณสุขอิหร่านล็อตแรกจำนวน 250,000 ชิ้น ชุดตรวจโควิด 5,000 ชุด และเมื่อวันที่ 29 ก.พ. สภากาชาดจีนส่งทีมแพทย์เข้าไปช่วยเหลืออีก 5 คน
หลังจากนั้นมีอีกหลายประเทศขอความช่วยเหลือจากจีน เช่น ประเทศอิรักได้ร้องขอความช่วยเหลือเช่นกันทำให้วันที่ 7 มี.ค. จีนได้ส่งแพทย์และผู้เชี่ยวชาญพร้อมสิ่งของช่วยเหลือเข้าไปที่อิรักและวางแผนว่าจะอยู่ในพื้นที่เพื่อช่วยเหลือแนะแนวแพทย์ในพื้นที่เป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือน
อีกหนึ่งประเทศคือ อิตาลี เป็นประเทศที่ระบาดหนักในยุโรปและอัตราการตายมีสูงมาก จีนและอิตาลีเองมีความสัมพันธ์ที่ดีมาในประวัติศาสตร์ ในประเทศยุโรปอิตาลีเป็นประเทศลำดับที่สองที่ยอมรับและสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนแผ่นดินใหญ่หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน และในช่วงต้นยุคการเปิดประเทศ จีนกำลังยากลำบากทางเศรษฐกิจและการพัฒนาหลายๆด้านล้าหลัง โดยเฉพาะในด้านการแพทย์และสาธารณสุข จีนได้ขอความช่วยเหลือจากหลายประเทศในยุโรป สุดท้ายแล้วมีแต่อิตาลีที่ไม่ปฎิเสธและพร้อมยินดีเข้าช่วยเหลือจีน ในปีค.ศ. 1988 อิตาลีเข้ามาช่วยจีนก่อตั้งศูนย์ปฐมพยาบาลในนครฉงชิ่งโดยมีนายกรัฐมนตรีอิตาลีในขณะนั้นเดินทางมาทำพิธีเปิดฯ โดยนอกจากการก่อสร้างตัวศูนย์ปฐมพยาบาลฉงชิ่งแล้วยังให้เครื่องมือการแพทย์สมัยใหม่รวม 3 ล้านดอลล่าร์สหรัฐและรถพยาบาล 19 คัน โดยทั้งหมดนี้เป็นการให้เปล่า หลังจากนั้นช่วงที่จีนเกิดโรคระบาดไวรัสซาร์ส (SARs) ประเทศอิตาลีก็เข้ามาช่วยเหลือจีนอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ
ดังนั้นถึงวันที่อิตาลีมีปัญหาจีนก็เข้าไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ในวันที่ 13 มี.ค. ทีมแพทย์ชุดที่สามทั้งหมด 9 คนมาถึงอิตาลีเพื่อช่วยเหลือวิกฤตโรคระบาด โดยมีทั้งเครื่องมือ ยา และอุปกรณ์ป้องกัน รวมทั้ส่งยาแผนจีนเข้าไปช่วยด้วย ล็อตแรกเป็นจำนวนหนึ่งแสนเม็ดซึ่งใช้รักษาผู้ป่วยอาการเบาได้ดี ทั้งนี้ในระหว่างที่ทีมแพทย์จีนไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในกรุงโรม ได้ยินเสียงประชาชนอิตาลีเปิดหน้าต่าง แล้วร้องตะโกน “GrazieCina!” หมายความว่า ขอบคุณจีน ยังมีการเปิดเพลงชาติจีนพร้อมปรบมือให้การต้อนรับ จากเหตุการณ์นี้ทำให้เห็นว่ามิตรไมตรีเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในวันที่ยากลำบาก
จากเหตุการระบาดใหญ่ของเชื้อโควิด-10 ทั่วโลกนี้รัฐบาลจีนได้บริจาคเงินเพิ่มเติมให้แก่องค์การอนามัยโลก หรือ ฮู (WHO)เป็นจำนวน 20 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และจากข้อมูลถึงวันที่ 26 มี.ค. ด้านการต่อสู้กับโควิด-19 จีนได้ยื่นมือช่วยเหลือแล้ว 86 ประเทศทั่วโลก สำหรับจีนเองกับภารกิจการช่วยประเทศต่างๆกู้ภัยนับว่าเป็นการช่วยเหลือเป็นวงกว้างมากที่สุดตั้งแต่ ค.ศ. 1949 เป็นต้นมา
นอกจากบทบาทของรัฐบาลในการช่วยเหลือประเทศต่างๆแล้ว เอกชนจีนเองก็มีบทบาทในการช่วยเหลือมิตรประเทศเช่นกัน ที่มีบทบาทมากที่สุดต้องยกให้กับแจ๊ค หม่า ผู้ก่อตั้ง อาลีบาบา กรุ๊ป (Alibaba Group) โดย แจ๊ค หม่า มีมูลนิธิสงเคราะห์ชื่อว่า Jack Ma Foundation โดยมูลนิธินี้ได้ช่วยเหลือบริจาคให้แก่หลายประเทศ ล่าสุดได้ประกาศ การบริจาคสิ่งของให้แก่ประเทศต่างๆ ดังนี้
เราจะเห็นได้ว่าในภารกิจการช่วยเหลือประเทศต่างๆ เพื่อต่อสู้กับโควิดนี้ ไม่ใช่แค่ภาครัฐเท่านั้น เอกชนจีนยังมีอีกหลายภาคส่วนที่ไม่ได้กล่าวถึงได้ยื่นมือให้ความช่วยเหลือกับต่างประเทศ
มาถึงในส่วนของประเทศไทยที่รัฐบาลจีนและหน่วยงานเอกชนก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเช่นกัน ดั่งคำกล่าวขาน “จีน-ไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกัน” (中泰一家亲” อ่านว่า จง-ไท่-อี-จยา-ชิน)ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้บ่อยๆในทุกสถานการณ์ความร่วมมือระหว่างไทยและจีน โดยในวันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้บริจาคสิ่งของจำเป็นเพื่อการต่อสู้โควิด-19ให้แก่ไทย ได้แก่ หน้ากากอนามัย 1.1 แสนชิ้น ชุดตรวจ 2 หมื่นชิ้น ชุด PPE 2 หมื่นชุด นอกจากนี้ทางการจีนยังให้ความช่วยเหลือช่วยประสานงานจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อให้ภาครัฐไทยและเอกชนไทยสะดวกในการจัดซื้อด้วย ทั้งยังยินดีแชร์ประสบการณ์การควบคุมโรคระบาดและแนวทางรักษากับไทยด้วย ซึ่งผู้เขียนก็เห็นว่าในกระบวนการป้องกันและหยุดการแพร่ระบาดฯ พร้อมวิธีการรักษาและการใช้ยา ไทยเราเองได้เรียนรู้จากประสบการณ์จีนไม่มากก็น้อย คราวยากลำบากนี้การเอื้ออาทรต่อกัน และการมีมิตรประเทศเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด