รอยเตอร์ - ผลการดำเนินงานการค้าของจีนปรับตัวลดลงในเดือนมกราคม จากยอดส่งออกลดลงร้อยละ 3.3 เทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่การนำเข้าร่วงลงร้อยละ 19.9 เกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ส่งสัญญาณความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีน
รายงานข่าว (9 ก.พ.) กล่าวว่า ตัวเลขกิจกรรมการค้าที่ตกลงนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการนำเข้าที่ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะถ่านหิน น้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์
ข้อมูลใหม่นี้ ขัดกับตัวเลขการสำรวจของรอยเตอร์ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าการส่งออกจะพุ่งไปที่ร้อยละ 6.3 และการชะลอตัวของการนำเข้าที่จะชะลอตัวอยู่ที่ร้อยละ 3 โดยประมาณยอดเกินดุลการค้าของจีนไว้ที่ 4.8 หมื่นล้านเหรียญ แต่ในข้อมูลล่าสุด จีนมียอดเกินดุลการค้าอยู่ที่ 6 หมื่นล้านเหรียญ
ทั้งนี้ ตัวเลขการนำเข้าในเดือนที่แล้ว ยังเป็นสถิติลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2552 ที่กิจกรรมการผลิตต่างๆ ของโรงงานจีนได้รับผลกระทบจากสินค้าเหลืออันเป็นผลจากวิกฤตการเงินทั่วโลก ขณะที่ตัวเลขส่งออกของจีนก็ไม่เคยตกลงติดลบมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2557)
ผลการดำเนินงานการค้าดังกล่าว เพิ่มความกังวลว่าจะเกิดภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจในจีนจากการพึ่งพาการส่งออก-การลงทุนมาก และเร่งสร้างกำลังการบริโภคเพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยในปีนี้ รัฐบาลคาดว่าจะลดเป้าหมายจีดีพีอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7 ต่ำกว่าปีที่แล้ว ซึ่งตั้งเป้าไว้ร้อยละ 7.4 ช้าที่สุดใน 24 ปี
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขชี้วัดทางเศรษฐกิจของจีนในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ มักจะถูกมองด้วยความระมัดระวังว่า มีความผันผวนและบิดเบือน อันเกิดจากเป็นช่วงของเทศกาลวันหยุดปีใหม่ ดังนั้น บรรดานักวิเคราะห์จึงคาดการณ์เฉลี่ยด้วยช่วงของค่าประมาณการที่กว้างมาก
บรรดานักลงทุนหวังว่า การประกาศแผนกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศรวมกับการเคลื่อนไหวเพื่อความคล่องตัวในการดำเนินนโยบายการเงิน รวมทั้งการลดลงอัตราส่วนทุนสำรองของธนาคารพาณิชย์ จะฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเพิ่มตัวเลขในภาคผลิตจีนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่ามาตรการเพิ่มสภาพคล่องเงินหยวน อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะทำอะไรมากไปกว่าการชดเชยเงินทุนไหลออก จึงต้องมีมาตรการสนับสนุนเชิงรุกมากขึ้น
ทั้งนี้ การนำเข้าของจีนได้ลดลงทุกเดือนตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการภายในประเทศที่ตกลง ตัวอย่างเช่น การนำเข้าถ่านหินลดลงเกือบร้อยละ 40 อยู่ที่ 16.78 ล้านตัน ลดลงจากเดือนธันวาคม ซึ่งอยู่ที่ 27.22 ล้านตัน และจีนยังตัดยอดเก็บน้ำมันดิบนำเข้า โดยลดลงร้อยละ 7.9 ในแง่ปริมาณ ทำให้ยอดนำเข้าทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและซัพพลายเออร์สินค้าโภคภัณฑ์จากประเทศออสเตรเลียและรัสเซีย ลดลงร้อยละ 35.3 และร้อยละ 28.7 ตามลำดับ