ASTVผู้จัดการรายวัน – บอสใหญ่"ลลิล" ระบุปี 58 โจทย์ยากนักธุรกิจ เหตุเศรษฐกิจโลกฟื้นช้า หวั่นปัญหาการเมืองระอุ วอนรัฐช่วยดูแลความสงบ ชี้นโยบายลงทุนภาครัฐ เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ราคาน้ำมันลด หนุนเศรษฐกิจโต ดันอสังหาฯ โต 3-5% เผยแผนลงทุนปี 58 เปิด 8-10 โครงการมูลค่า 4,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 3,120 ล้านบาท
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ (LALIN) กล่าวว่าถึงภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2558 ว่า มีแนวโน้มเติบโต 3-5% จากปีที่ผ่านมา ตามการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศที่คาดว่า GDP ในปีนี้จะเติบโตได้ประมาณ 3-4% นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวก ได้แก่ นโยบายการลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนด้านสาธารณูปโภคและระบบขนส่งต่างๆ
การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณค้างจ่ายในโครงการต่างๆ ซึ่งจะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ รวมถึงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและการกระจายความเจริญสู่ตลาดภูมิภาคและการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) นอกจากนี้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในไทยยังไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติ ราคาน้ำมันปรับลด และอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตามปี 58 ยังคงมีปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ อาทิ แรงงานฝีมือขาดแคลน, ราคาที่ดินปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพชั้นใน แนวรถไฟฟ้า ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ยังคงเป็นที่น่าจับตามองว่าจะเกิดความไม่สงบขึ้นอีกหรือไม่หลังการตัดสินคดีทางการเมืองต่างๆ ที่กำลังจะออกมา
นอกจากนี้ปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ ที่สำคัญอีกประการ คือ หนี้ครัวเรือนที่ปรับขึ้นสูง บั่นทอนกำลังซื้อของผู้บริโภค ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน และฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า จะกระทบต่อเศรษฐกิขไทยที่พึ่งพิงการส่งออกถึง 70% ของ GDP และในช่วงครึ่งปีหลังธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดอาจทะยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเงินในตลาดทุนไหลออกไปได้
“การทำธุรกิจในปีนี้ถือว่าโจทย์ยากกว่าทุกปี ดังนั้นจะต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะปัจจัยลบภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากนี้ยังต้องลุ้นว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะร้อนแรงขึ้นมาอีกหรือไม่ ซึ่งเอกชนหวังว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมให้สงบไปอีกระยะหนึ่งจะทำให้ภาคเอกชนเกิดความเชื่อมั่นกล้าลงทุน ผู้บริโภคกล้าจับจ่ายใช้สอยเศรษฐกิจก็จะฟื้นได้” นายไชยยันต์ กล่าว
นายไชยยันต์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทจะดำเนินขยายตัวอย่างระมัดระวัง โดยตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 1-2 โครงการ ส่วนที่เหลือเป็นโครงการแนวราบกระจายทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงในต่างจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ปัจจุบันซื้อที่ดินแล้ว 5 แปลง ซึ่งบริษัทตั้งงบซื้อที่ดินในปีนี้ 800-900 ล้านบาท
ส่วนเป้าหมายยอดขายในปีนี้ตั้งไว้ที่ 3,120 ล้านบาท จากยอดขายในปีที่แล้ว 2,800 ล้านบาท (ปรับลดลงจากเป้าหมาย 3,200 ล้านบาท) ส่วนเป้ารับรู้รายได้ตั้งไว้ที่ 2,650 ล้านบาท เติบโตขึ้น 12% ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ 500 ล้านบาท ส่วนสต๊อกสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมปัจจุบันเหลือประมาณ 50-60 ยูนิต มูลค่าราว 100 ล้านบาท.
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ (LALIN) กล่าวว่าถึงภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2558 ว่า มีแนวโน้มเติบโต 3-5% จากปีที่ผ่านมา ตามการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศที่คาดว่า GDP ในปีนี้จะเติบโตได้ประมาณ 3-4% นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวก ได้แก่ นโยบายการลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนด้านสาธารณูปโภคและระบบขนส่งต่างๆ
การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณค้างจ่ายในโครงการต่างๆ ซึ่งจะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ รวมถึงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและการกระจายความเจริญสู่ตลาดภูมิภาคและการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) นอกจากนี้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในไทยยังไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติ ราคาน้ำมันปรับลด และอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตามปี 58 ยังคงมีปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ อาทิ แรงงานฝีมือขาดแคลน, ราคาที่ดินปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพชั้นใน แนวรถไฟฟ้า ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ยังคงเป็นที่น่าจับตามองว่าจะเกิดความไม่สงบขึ้นอีกหรือไม่หลังการตัดสินคดีทางการเมืองต่างๆ ที่กำลังจะออกมา
นอกจากนี้ปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ ที่สำคัญอีกประการ คือ หนี้ครัวเรือนที่ปรับขึ้นสูง บั่นทอนกำลังซื้อของผู้บริโภค ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน และฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า จะกระทบต่อเศรษฐกิขไทยที่พึ่งพิงการส่งออกถึง 70% ของ GDP และในช่วงครึ่งปีหลังธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดอาจทะยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเงินในตลาดทุนไหลออกไปได้
“การทำธุรกิจในปีนี้ถือว่าโจทย์ยากกว่าทุกปี ดังนั้นจะต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะปัจจัยลบภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากนี้ยังต้องลุ้นว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะร้อนแรงขึ้นมาอีกหรือไม่ ซึ่งเอกชนหวังว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมให้สงบไปอีกระยะหนึ่งจะทำให้ภาคเอกชนเกิดความเชื่อมั่นกล้าลงทุน ผู้บริโภคกล้าจับจ่ายใช้สอยเศรษฐกิจก็จะฟื้นได้” นายไชยยันต์ กล่าว
นายไชยยันต์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทจะดำเนินขยายตัวอย่างระมัดระวัง โดยตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 1-2 โครงการ ส่วนที่เหลือเป็นโครงการแนวราบกระจายทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงในต่างจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ปัจจุบันซื้อที่ดินแล้ว 5 แปลง ซึ่งบริษัทตั้งงบซื้อที่ดินในปีนี้ 800-900 ล้านบาท
ส่วนเป้าหมายยอดขายในปีนี้ตั้งไว้ที่ 3,120 ล้านบาท จากยอดขายในปีที่แล้ว 2,800 ล้านบาท (ปรับลดลงจากเป้าหมาย 3,200 ล้านบาท) ส่วนเป้ารับรู้รายได้ตั้งไว้ที่ 2,650 ล้านบาท เติบโตขึ้น 12% ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ 500 ล้านบาท ส่วนสต๊อกสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมปัจจุบันเหลือประมาณ 50-60 ยูนิต มูลค่าราว 100 ล้านบาท.