“ลลิล” ชี้ปี 58 โจทย์ยากนักธุรกิจ เหตุเศรษฐกิจโลกฟื้นช้า หวั่นปัญหาการเมืองระอุ วอนรัฐช่วยดูแลความสงบ ชี้นโยบายลงทุนภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ราคาน้ำมันลด หนุนเศรษฐกิจโตดันอสังหาฯ โต 3-5% เผยแผนลงทุนปี 58 เปิด 8-10 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 3,120 ล้านบาท โต 12%
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) กล่าวถึงภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2558 ว่า มีแนวโน้มเติบโต 3-5% จากปีที่ผ่านมา ตามการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศที่คาดว่า GDP ในปีนี้จะเติบโตได้ประมาณ 3-4% นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวก ได้แก่ นโยบายการลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนด้านสาธารณูปโภค และระบบขนส่งต่างๆ
การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณค้างจ่ายในโครงการต่างๆ ซึ่งจะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ รวมถึงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการกระจายความเจริญสู่ตลาดภูมิภาค และการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) นอกจากนี้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ในไทยยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติ ราคาน้ำมันปรับลด และอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ
สำหรับปัจจัยลบในปี 58 เช่น ปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือ ราคาที่ดินปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในแนวรถไฟฟ้า ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศยังคงเป็นที่น่าจับตามองว่าจะเกิดความไม่สงบขึ้นอีกหรือไม่ หลังการตัดสินคดีทางการเมืองต่างๆ ที่กำลังจะออกมา
นอกจากนี้ ปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ ที่สำคัญอีกประการ คือ หนี้ครัวเรือนที่ปรับขึ้นสูง บั่นทอนกำลังซื้อของผู้บริโภค ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน และฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า จะกระทบต่อเศรษฐกิขไทยที่พึ่งพิงการส่งออกถึง 70% ของ GDP และในช่วงครึ่งปีหลัง ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด อาจทะยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเงินในตลาดทุนไหลออกไปได้
“การทำธุรกิจในปีนี้ถือว่าโจทย์ยากกว่าทุกปี ดังนั้น จะต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะปัจจัยลบภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากนี้ ยังต้องลุ้นว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะร้อนแรงขึ้นมาอีกหรือไม่ ซึ่งเอกชนหวังว่า รัฐบาลจะสามารถควบคุมให้สงบไปอีกระยะหนึ่งจะทำให้ภาคเอกชนเกิดความเชื่อมั่นกล้าลงทุน ผู้บริโภคกล้าจับจ่ายใช้สอยเศรษฐกิจก็จะฟื้นได้” นายไชยยันต์ กล่าว
นายไชยยันต์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทจะดำเนินขยายตัวอย่างระมัดระวัง โดยตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 1-2 โครงการ ส่วนที่เหลือเป็นโครงการแนวราบ กระจายทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงในต่างจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ปัจจุบันซื้อที่ดินแล้ว 5 แปลง ซึ่งบริษัทตั้งงบซื้อที่ดินในปีนี้ 800-900 ล้านบาท
ส่วนเป้าหมายยอดขายในปีนี้ตั้งไว้ที่ 3,120 ล้านบาท จากยอดขายในปีที่แล้ว 2,800 ล้านบาท (ปรับลดลงจากเป้าหมาย 3,200 ล้านบาท) ส่วนเป้ารับรู้รายได้ตั้งไว้ที่ 2,650 ล้านบาท เติบโตขึ้น 12% ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ 500 ล้านบาท ส่วนสะต๊อกสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมปัจจุบันเหลือประมาณ 50-60 ยูนิต มูลค่าราว 100 ล้านบาท