ขณะที่จวงจื่อเดินลัดเลาะไปบนเขา ก็พบต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านแออัดใบหนาดกเขียวขจี มีคนตัดไม้ผู้หนึ่งผ่านมา หยุดอยู่ใต้ต้น ทว่ากลับมิได้ลงมือโค่นมันลง เมื่อจวงจื่อถามถึงเหตุผลที่เขาไม่ตัดไม้นั้น ก็ได้คำตอบว่า “ไม้ต้นนี้ไม่อาจใช้ทำอะไรได้เลย” จวงจื่อจึงกล่าวขึ้นว่า “เพราะความไร้ประโยชน์นั่นเองที่ทำให้มันรักษาชีวิตอยู่มาตราบกาลที่ฟ้าประทานให้”
เมื่อลงจากเขา จวงจื่อมาพักแรมยังบ้านของสหายเก่าแก่ผู้หนึ่ง สหายเจ้าบ้านยินดียิ่ง สั่งให้บุตรชายไปเชือดห่านมาปรุงอาหาร “ห่านตัวหนึ่งร้องได้ ส่วนอีกตัวร้องไม่ได้ จะให้ข้าเชือดตัวไหน?”
“เชือดตัวที่ร้องไม่ได้เสีย” เจ้าบ้านตอบ
วันต่อมา ศิษย์ของจวงจื่อก็ถามขึ้นว่า “ต้นไม้บนภูเขาที่พบเมื่อวานมีชีวิตยืนยาวเนื่องจากความไร้ประโยชน์ มาบัดนี้ห่านของเจ้าบ้านหลังนั้นกลับถูกปลิดชีวิตเนื่องจากความไร้ประโยชน์ของมัน เช่นนี้แล้ว อาจารย์จะยืนอยู่ ณ จุดไหน?”
จวงจื่อหัวเราะพลางกล่าวว่า “ข้าย่อมยืนอยู่ ณ จุดกึ่งกลางระหว่างความมีประโยชน์และความไร้ประโยชน์ แม้อาจดูเป็นตำแหน่งที่ดี แต่แท้จริงแล้วก็ใช่ว่าอาจหลบหนีจากความยุ่งยากได้ ทว่า หากเจ้ามุ่งสู่มรรคาและคุณธรรมของมัน พเนจรไปอย่างไร้กังวล ไร้การยกย่องสรรเสริญ ไร้คำตำหนิโทษ บัดเดี๋ยวเป็นมังกร บัดเดี๋ยวเป็นงู เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่ยึดมั่นในหนทางเดียว บัดเดี๋ยวทะยานขึ้นเบื้องบน บัดเดี๋ยวดิ่งลงเบื้องล่าง กลมกลืนไปกับสิ่งต่างๆ พเนจรร่อนเร่ร่วมไปกับต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง จงใช้สิ่งต่างๆแต่อย่าปล่อยให้สิ่งต่างๆช่วงใช้เจ้า เช่นนี้แล้วเจ้าจะประสบความยุ่งยากได้อย่างไร? นี่เป็นกฎเกณฑ์ เป็นวิถีทางของเสินหนงและหวงตี้
“แต่ท่ามกลางความปรารถนาทะยานอยากทางโลก และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่สืบทอดกันมา มนุษย์และสิ่งต่างๆไม่ดำเนินไปตามธรรมชาติ สิ่งต่างๆรวมกันแล้วก็แยกจากกัน บรรลุถึงความเต็มเปี่ยมเพียงเพื่อที่จะแตกสลาย หากแหลมคม ก็กลับทื่อทึ่ม หากอยู่สูง ก็จะถูกโค่นล้ม หากทะเยอทะยาน ก็ถูกขัดขวาง หากชาญฉลาด ก็ถูกต่อต้าน หากโง่เขลา ก็ถูกหลอกลวง เช่นนี้แล้วอาจมีสิ่งใดให้ยึดถือ? อนิจจา มีเพียงสิ่งเดียว จำไว้เถิดศิษย์ของข้า มีเพียงอาณาจักรแห่งเต๋าและคุณธรรมของมันเท่านั้น”
แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子)