ขณะหวนกง ออกล่าสัตว์ในบริเวณหนองน้ำโดยมีก่วนจ้ง เป็นสารถีขับรถม้า เมื่อเขาเห็นภูตผีเข้า ก็ฉวยกุมมือของก่วนจ้งไว้ทันที และพูดว่า “จ้งฝู่ ท่านเห็นอะไรหรือไม่?”
“ข้าไม่เห็นอะไรเลย” ก่วนจ้งตอบ
เมื่อหวนกงกลับถึงเรือน ก็ล้มป่วยหมดสติจับไข้ไม่ออกไปไหนเลยเป็นเวลาหลายวัน หวงจื่อเก้าเอ๋าปราชญ์แห่งแคว้นฉีมาเยี่ยมและกล่าวว่า “ท่านไฉนทำให้ตัวเองล้มป่วยไปเช่นนี้ ภูตผีมีพลังทำร้ายท่านถึงเพียงนี้เชียวหรือ เมื่อพลังปราณภายในตัวมนุษย์แตกซ่านและไม่อาจฟื้นคืนมา ก็จะรู้สึกอ่อนเปลี้ย หากพลังปราณไหลขึ้นและไม่ไหลกลับลงมา ก็จะรู้สึกร้อนรุ่มหงุดหงิด หากพลังปราณไหลลงและไม่อาจกลับขึ้นมา ก็จะทำให้หลงลืมฟั่นเฟือน เมื่อพลังปราณไม่อาจทั้งไหลขึ้นหรือไหลลงมา แต่กลับกระจุกอัดอั้นอยู่ภายในใจ ก็จะล้มป่วย”
หวนกงถามขึ้นว่า “ภูตผีมีจริงหรือไม่?”
“มีสิ ในกองไฟมีหลี่ว์ ในเตามีจี้ ในกองขยะปฏิกูลมีเหลยถิง ณ เบื้องตะวันออกเฉียงเหนือมีเป้ยอาและกุยหลง และ ณ เบื้องตะวันตกเฉียงเหนือก็มีอี้หยัง ในห้วงน้ำมีหวั่งเซี่ยง บนเนินเขาก็มีซิน ในเทือกเขามีขุย ในทุ่งกว้างมีฝังหวง และในหนองน้ำก็ยังมีเวยอี๋”
หวนกงถามอีกว่า “ข้าขอถามว่าเวยอี๋มีหน้าตาเยี่ยงไร?”
หวงจื่อตอบว่า “เวยอี๋มีขนาดราวดุมล้อ สูงเท่าเพลา สวมอาภรณ์สีม่วงและหมวกสีแดงสด ดูน่าเกลียดน่ากลัวมาก เมื่อมันได้ยินเสียงฟ้าผ่าหรือเสียงรถม้า ก็จะกุมศีรษะและทะลึ่งยืนขึ้น ผู้คนที่พบเห็นจะได้เป็นเจ้าแคว้นผู้ทรงอำนาจเด็ดขาด”
หวนกงเงยหน้าขึ้น พลางหัวเราะร่า “นั่นต้องเป็นตัวที่ข้าพบเห็นแน่ๆ!” จากนั้นก็ลุกขึ้นจัดแต่งอาภรณ์หมวกยศ นั่งลงบนเสื่อสนทนากับหวงจื่อ เวลาผ่านไปจนพลบค่ำโดยที่ไม่ได้รู้สึกเลยว่าอาการป่วยไข้ของตนได้ปลาสนาการไปสิ้น
แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子)