จวงจื่อสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบเต็มไปด้วยเศษผ้าปะชุน รองเท้าที่สวมใส่นั้น ก็ต้องใช้เชือกป่านผูกมัดมันไว้มิให้หลุดออกจากกัน เขาเดินทางไปหาเว่ยหวัง “โอ! ชีวิตท่านดูน่าเศร้ารันทดยิ่งนัก!” เว่ยหวังอุทานขึ้น
จวงจื่อกล่าวตอบว่า “ข้าเพียงยากจนขัดสนเงินทอง แต่ชีวิตไม่ได้เศร้ารันทด เมื่อคนเราบรรลุถึงเต๋า แต่กลับไม่สามารถนำมันมาปฏิบัติได้นั้น จึงนับเป็นเรื่องน่าเศร้าสลด เมื่อเสื้อผ้าของเขาเก่าขาดมอซอ และรองเท้าชำรุดหลุดลุ่ย นี่คือความยากจน แต่ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าสลด นี่เรียกว่าการถือกำเนิดผิดยุคสมัย
"ท่านไม่เคยสังเกตฝูงลิงหรอกหรือ? เมื่อพวกมันปีนป่ายไปตามต้นสนสูงใหญ่ ต้นชิว หรือต้นการบูร ก็ลิงโลดห้อยโหนแกว่งโยนตัวอย่างคล่องแคล่วว่องไว แม้กระทั่งมือขมังธนูอย่างอี้หรือผังเหมิงก็ไม่อาจยิงถูกพวกมัน แต่เมื่ออยู่ในไม้พุ่มที่เต็มไปด้วยหนามแหลมอย่างต้นหม่อนป่า แบล็กเบอร์รี่ ต้นบ๊วย หรือมะงั่ว พวกมันก็จะเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง มองซ้ายมองขวา ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว อาการดังกล่าวนี้มิใช่เพราะกระดูกหรือกล้ามเนื้อเส้นเอ็นของพวกมันตึงแข็งหรือสูญเสียความยืดหยุ่นไป แต่เป็นเพราะพวกลิงตกอยู่ในสภาพที่ลำบากและเสียเปรียบ ซึ่งพวกมันไม่อาจใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ ดังนี้ หากข้ามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยผู้ปกครองผู้มืดบอดท่ามกลางหมู่ขุนนางทรราช เช่นนี้แล้วยังหวังที่จะหนีพ้นจากความทุกข์เศร้าใจได้อย่างไร ปี่กัน*ต้องถูกแหวะอกควักหัวใจออกมา นี่แสดงให้เห็นถึงความข้อนี้”
*ปี่กัน อำมาตย์ผู้ซื่อสัตย์และระญาติของโจ้วกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซย่า(2100-1700 ปีก่อนค.ศ.) เฝ้าตักเตือนโจ้ว จนกษัตริย์ทรราชรำคาญ กล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าปราชญ์มีหัวใจเก้าดวง ข้าอยากเห็นนัก” จึงรับสั่งให้ผ่าอกควักหัวใจปี่กันออกมาดู