ไชน่าเดลี - อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นทะลุ 6.10 หยวนต่อเหรียญสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี หลังจากที่ธนาคารกลางจีนปรับเพิ่มอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงประจำวันเกือบสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการที่จะเพิ่มการหมุนเวียนของเงินหยวนในระบบเศรษฐกิจโลก
สถิติจากระบบการค้าเงินตราต่างประเทศของจีนแสดงให้เห็นว่า เงินหยวนแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง 3 วันติดต่อกัน จนปิดที่สถิติสูงที่สุดคือ 6.0995 หยวนต่อเหรียญสหรัฐฯ ในตลาดเซี่ยงไฮ้เมื่อวันพุธ (16 ต.ค.) ที่ผ่านมา ระหว่างการเจรจาผ่าทางตันปัญหาหนี้สาธารณะของนักการเมืองในสหรัฐฯ
ก่อนที่ตลาดจะปิด ค่าเงินหยวนแข็งขึ้นไปแตะ 6.0965 หยวนต่อเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นการแข็งค่าที่สุดในรอบ 20 ปี นับจากที่รัฐบาลจีนควบรวมอัตราแลกเปลี่ยนภาครัฐและอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดเมื่อปี 2536 (ค.ศ.1993) โดยก่อนหน้านี้เงินหยวนเคยแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 6.1 หยวนต่อเหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2536 โดยแข็งขึ้นไปถึงระดับ 5.8245 ก่อนที่จะอ่อนค่าลงมาที่ 8.7217 เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2537 หลังจากจีนประกาศใช้กลไกอัตราแลกเปลี่ยนระบบใหม่
นับตั้งแต่นั้นมาค่าเงินจีนก็แข็งค่าขึ้นถึงร้อยละ 43 โดยธนาคารประชาชนจีน (ธนาคารกลางจีน) ควบคุมให้ค่าเงินหยวนเคลื่อนไหวในกรอบไม่เกินร้อยละ 1 ทั้งสองด้านของอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง
นักวิเคราะห์ระบุว่า อัตราแลกเปลี่ยนเหรียญสหรัฐฯ ต่อหยวนอาจมีความผันผวน เพราะตลาดต้องย่อยข้อมูลผลกระทบหลักสองด้านคือ การเจรจาเรื่องหนี้ของสหรัฐฯ และแนวโน้มที่ค่าเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้นอีก
“ตอนนี้ ผลกระทบหลายด้านส่งผลต่อตลาดอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงนโยบายของภาครัฐต่อการแข็งค่าขึ้นของเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ” โจว ยุ่นเสีย นักวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนจากจงชิ่ง โกลด์ อินเวสต์เมนต์ระบุ
ขณะที่นิค เวอร์ดิ นักวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนจากบาร์เคลย์ รีเสิร์ชก็ระบุว่า ตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนมีแนวโน้มในเชิงบวก ในบริบทที่มีความเป็นไปได้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่าลงอีก นั่นช่วยสนับสนุนให้เกิดการไหลเข้าของเงินทุนเพื่อรองรับกับการแข็งค่าขึ้นของเงินหยวนในปีนี้
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาภาครัฐของจีน ก็ช่วยส่งเสริมการใช้เงินหยวนในระบบการค้าต่างประเทศ โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (16) จีนและสหราชอาณาจักรบรรลุข้อตกลงในการสร้างลอนดอนให้กลายเป็นศูนย์กลางใหญ่ในการแลกเปลี่ยนเงินหยวนนอกประเทศจีน ซึ่งจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ทางการเงินระหว่างสองประเทศให้มีความแน้นแฟ้นขึ้นอีก