เอเยนซี - ผู้กำกับชื่อดังแดนมังกรเรียกร้องให้ปลุกจิตสำนึกเยาวชน ด้วยการทำภาพยนตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ปฏิวัติวัฒนธรรม ควบคู่ไปกับหนังตามความนิยมของตลาด เช่น แนวโปกฮา
การปฏิวัติวัฒนธรรมในช่วงปี 2509-2519 เป็นอีกหนึ่งทศวรรษที่ประเทศจีนประสบสภาวะโหดร้ายทารุณ วุ่นวาย อันเนื่องมาจากการที่ผู้นำการปฏิวัติ ประธานเหมา เจ๋อตงพยายามจะกำจัดแนวคิดที่เรียกว่า “ทุนนิยม” ขณะที่ผู้นำบางส่วนพยายามจะขับเคลื่อนประเทศไปในทิศทางอื่นที่ไม่ใช่สังคมนิยมอุดมคติแบบที่ประธานเหมาตั้งไว้ ยอดผู้เสียชีวิตในการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นผลมาจากนักเรียนทำร้ายครูบาอาจารย์ เจ้าหน้าที่รัฐถูกกำจัด ประเทศและเศรษฐกิจหยุดนิ่งสนิท เหตุการณ์นี้กลายเป็นเรื่องอ่อนไหวทางการเมืองตราบจนทุกวันนี้
ในงานสัมมนาศิลปะวรรณกรรมเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา เฝิง เสี่ยวกัง (冯小刚) กรรมการสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีนและผู้กำกับชื่อดังได้เสนอทรรศนะเพื่อพิจารณาระบบฉายภาพยนตร์ในเมืองจีนไว้อย่างน่าสนใจว่า “พวกเราสามารถฉายหนังแนวแก๊งม่วนป่วนไทยแลนด์ไปพร้อมๆ กับการฉายหนังแนวปฏิวัติวัฒนธรรม ผมคิดว่าเราใช้หนังแนวนี้เพื่อหันมาพิจารณาตัวเอง เราผ่านเรื่องอย่างนี้มา มันจะเป็นประโยชน์”
เฝิง เสี่ยวกัง กล่าวว่า “ลักษณะการใช้โจรเป็นตัวเอก เช่น ภาพยนตร์เรื่อง ใต้ฟ้าดินไร้โจร ไม่เคยปรากฏมาก่อน คุณกำลังสรรเสริญใคร ถ่ายทำกันโดยไม่พัก สุดท้ายฉายออกมาได้ ก็ไม่เห็นมีผลเชิงลบ วันรวมพล ก็เหมือนกัน ก่อนถ่ายทำก็ไม่เห็นมีใครคัดค้าน พอเข้าฉายก็ไม่เห็นมีใครรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ส่งผลลบต่อกองทัพ กระทั่งถึงหนังเรื่อง 1942 มีคนบอกว่า ประเทศจีนมีเรื่องดีๆ มากมาย ทำไมถึงต้องเลือกเรื่องที่สะอิดสะเอียนเช่นนี้ทำหนัง ซึ่งผู้นำก็เห็นชอบด้วย ดังนั้นผมจึงเห็นว่า พวกเราจะต้องส่งเสียงออกมา เพื่อไม่ให้เสียแรงที่เป็นกรรมการที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติ และเพื่อรักษาไว้ซึ่งตลาดภาพยนตร์จีน”
“ผมถามลูกชายเกี่ยวกับการปฎิวัติวัฒนธรรม เขาตอบว่า ไม่รู้ จริงๆ เดี๋ยวนี้วัยรุ่นจำนวนมากไม่รู้เรื่องเสียแล้ว เหตุการณ์ทุบรถ 9-15 ที่เมืองซีอัน มีคนลากคนขับออกมาจากรถเพื่อทุบตี อันนี้มันไม่เกี่ยวกับการรักชาติ ถ้าไม่สร้างความเข้าใจเรื่องปฏิรูปวัฒนธรรม ไม่สร้างความเข้าใจว่าการกระทำที่รุนแรงของกองทัพแดงทำให้เกิดความหายนะ ผู้คนก็จะรู้สึกว่าการเอาก้อนหินขว้างปากระจกเป็นเรื่องที่ยิ่งทำยิ่งสนุก”
ก่อนหน้าที่จะจบบทอภิปราย เฝิง เสี่ยวกัง จงใจแถลงไข ที่มาพูดวันนี้ไม่ได้เกิดจากอารมณ์ใดใด มีแต่ความหวังซึ่งกรั่นกรองมาจากจิตที่สงบนิ่ง และได้แสดงความอิดหนากับอ่านรายงานที่เขียนพาดพิงถึงเขา ทำนองว่า “ไม่ได้เสนอรายงาน” “กินข้าวก่อนค่อยว่ากัน” ทั้งนี้ ก็ชินเสียแล้วที่ถูกสื่อมวลชนเข้าใจผิด แต่ในฐานะของคณะกรรมการที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีน เขาต้องออกเสียง เพียงหวังว่านักข่าวจะจดบันทึกตามจริง
การปฏิวัติวัฒนธรรมในช่วงปี 2509-2519 เป็นอีกหนึ่งทศวรรษที่ประเทศจีนประสบสภาวะโหดร้ายทารุณ วุ่นวาย อันเนื่องมาจากการที่ผู้นำการปฏิวัติ ประธานเหมา เจ๋อตงพยายามจะกำจัดแนวคิดที่เรียกว่า “ทุนนิยม” ขณะที่ผู้นำบางส่วนพยายามจะขับเคลื่อนประเทศไปในทิศทางอื่นที่ไม่ใช่สังคมนิยมอุดมคติแบบที่ประธานเหมาตั้งไว้ ยอดผู้เสียชีวิตในการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นผลมาจากนักเรียนทำร้ายครูบาอาจารย์ เจ้าหน้าที่รัฐถูกกำจัด ประเทศและเศรษฐกิจหยุดนิ่งสนิท เหตุการณ์นี้กลายเป็นเรื่องอ่อนไหวทางการเมืองตราบจนทุกวันนี้
ในงานสัมมนาศิลปะวรรณกรรมเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา เฝิง เสี่ยวกัง (冯小刚) กรรมการสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีนและผู้กำกับชื่อดังได้เสนอทรรศนะเพื่อพิจารณาระบบฉายภาพยนตร์ในเมืองจีนไว้อย่างน่าสนใจว่า “พวกเราสามารถฉายหนังแนวแก๊งม่วนป่วนไทยแลนด์ไปพร้อมๆ กับการฉายหนังแนวปฏิวัติวัฒนธรรม ผมคิดว่าเราใช้หนังแนวนี้เพื่อหันมาพิจารณาตัวเอง เราผ่านเรื่องอย่างนี้มา มันจะเป็นประโยชน์”
เฝิง เสี่ยวกัง กล่าวว่า “ลักษณะการใช้โจรเป็นตัวเอก เช่น ภาพยนตร์เรื่อง ใต้ฟ้าดินไร้โจร ไม่เคยปรากฏมาก่อน คุณกำลังสรรเสริญใคร ถ่ายทำกันโดยไม่พัก สุดท้ายฉายออกมาได้ ก็ไม่เห็นมีผลเชิงลบ วันรวมพล ก็เหมือนกัน ก่อนถ่ายทำก็ไม่เห็นมีใครคัดค้าน พอเข้าฉายก็ไม่เห็นมีใครรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ส่งผลลบต่อกองทัพ กระทั่งถึงหนังเรื่อง 1942 มีคนบอกว่า ประเทศจีนมีเรื่องดีๆ มากมาย ทำไมถึงต้องเลือกเรื่องที่สะอิดสะเอียนเช่นนี้ทำหนัง ซึ่งผู้นำก็เห็นชอบด้วย ดังนั้นผมจึงเห็นว่า พวกเราจะต้องส่งเสียงออกมา เพื่อไม่ให้เสียแรงที่เป็นกรรมการที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติ และเพื่อรักษาไว้ซึ่งตลาดภาพยนตร์จีน”
“ผมถามลูกชายเกี่ยวกับการปฎิวัติวัฒนธรรม เขาตอบว่า ไม่รู้ จริงๆ เดี๋ยวนี้วัยรุ่นจำนวนมากไม่รู้เรื่องเสียแล้ว เหตุการณ์ทุบรถ 9-15 ที่เมืองซีอัน มีคนลากคนขับออกมาจากรถเพื่อทุบตี อันนี้มันไม่เกี่ยวกับการรักชาติ ถ้าไม่สร้างความเข้าใจเรื่องปฏิรูปวัฒนธรรม ไม่สร้างความเข้าใจว่าการกระทำที่รุนแรงของกองทัพแดงทำให้เกิดความหายนะ ผู้คนก็จะรู้สึกว่าการเอาก้อนหินขว้างปากระจกเป็นเรื่องที่ยิ่งทำยิ่งสนุก”
ก่อนหน้าที่จะจบบทอภิปราย เฝิง เสี่ยวกัง จงใจแถลงไข ที่มาพูดวันนี้ไม่ได้เกิดจากอารมณ์ใดใด มีแต่ความหวังซึ่งกรั่นกรองมาจากจิตที่สงบนิ่ง และได้แสดงความอิดหนากับอ่านรายงานที่เขียนพาดพิงถึงเขา ทำนองว่า “ไม่ได้เสนอรายงาน” “กินข้าวก่อนค่อยว่ากัน” ทั้งนี้ ก็ชินเสียแล้วที่ถูกสื่อมวลชนเข้าใจผิด แต่ในฐานะของคณะกรรมการที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีน เขาต้องออกเสียง เพียงหวังว่านักข่าวจะจดบันทึกตามจริง