เอเอฟพี - สุดทนระบบเซ็นเซ่อร์ภาพยนตร์ของรัฐบาลปักกิ่ง เซี่ย เฟย ยอดผู้กำกับแดนมังกรสวดยับว่า เป็นการสิ้นเปลืองเงินทอง และคณะกรรมการนึกจะหั่นบท ก็หั่นไปตามอำเภอใจ โดยไร้หลักเกณฑ์ ที่ชัดเจน
เซี่ย วัย 70 ปี คว้ารางวัลกำกับภาพยนตร์จากต่างประเทศมาครองหลายรางวัล เช่น ภาพยนตร์ ที่สร้างในช่วงปี 2533-2543 เรื่อง "แบล็กสโนว์" ( Black Snow) และ "วูเมิน เซซามี่ ออยล์ เมกเก้อร์" ( Woman Sesame Oil Maker) ซึ่งเป็นรางวับสูงสุด ที่มอบในงานเทศกาลภาพยนตร์กรุงเบอร์ลิน
ในจดหมายเปิดผนึกของผู้กำกับมือทองรายนี้ เขาอ้างถึงปัญหาอุปสรรคมากมายกว่าภาพยนตร์ ซึ่งสร้างโดยผู้กำกับชื่อดังหลายคน เช่น เจียง เหวิน เถียน จ้วงจ้วง และจย่า จางเกอ จะผ่านการอนุมัติให้นำออกฉายได้
" วิธีการและระบบเซ็นเซ่อร์ของหน่วยงานรัฐ ซึ่งกำกับดูแลอุตสาหกรรมภาพยนตร์มายาวนานนั้นขาดการให้ความสำคัญในเชิงสังคม เศรษฐกิจ อุดมคติ และวัฒนธรรม" เซี่ยระบุในจดหมายเปิดผนึก ซึ่งลงในหน้าไมโครบล็อกเมื่อวันเสาร์ (15 ธ.ค.)
เขายังวิจารณ์ระบบเซ็นเซ่อร์ของจีนในปัจจุบันอีกว่า เป็นแค่จุดดำด่างพร้อย ซึ่งมาควบคุมความเจริญรุ่งเรืองของอุตสาหกรรมบันเทิงและวัฒนธรรม และได้ทำลายการแสวงหาทางศิลปะ และสิ้นเปลืองทรัพยากรของรัฐโดยเปล่าประโยชน์
นอกจากนั้น การเซ็นเซ่อร์ยังส่งผลให้ภาพยนตร์ไม่ทำเงิน แตกต่างจากภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่งผู้สร้างไม่ถูกจำกัดควบคุมเหมือนผู้กำกับภาพยนตร์จีน และชาวจีนชอบดูกันมากมาย
เซี่ยได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ระบบเซ็นเซ่อร์บนแดนมังกรอย่างเผ็ดร้อนมานานแล้ว และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาได้หยุดสร้างภาพยนตร์เรื่องใหม่ ๆ เพราะระบบหั่นแหลกนี้ แต่ได้หันมาทำงานให้คำปรึกษาด้านศิลป์ให้ภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนในช่วงปี 2509-2519 และมีแก่นเรื่องเกี่ยวกับรักร่วมเพศ และภาพยนตร์เรื่องนี้รอยคอยการอนุมัติจากคณะกรรมการเซ็นเซ่อร์มานาน 4 เดือนแล้ว
นอกจากการวิพากษ์วิจารณ์ เซี่ยยังเสนอความเห็นว่า ระบบเซ็นเซ่อร์ของจีนควรกระทำบนพื้นฐานของกฎหมายและกฎระเบียบ ที่สอดคล้องกับสิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี และสิทธิในการเผยแพร่ตามที่รัฐธรรมนูญจีนกำหนด
" ระบบเซ็นเซ่อร์ในทุกวันนี้ไม่ดำเนินภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ยังคงถูกตัดสินด้วยระบบ ที่ยึดโยงอยู่กับตัวบุคคล ซึ่งเราได้บอกมานานแล้วว่า ควรยุติเสียที" เขากล่าว
เซี่ยชี้ว่า ระบบเซ็นเซ่อร์ของจีนยังคงสั่งห้ามทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พวกเขาเห็นว่าจะสร้างภาพลบแก่ประเทศ
ทั้งนี้ ตลาดภาพยนตร์ของจีน ซึ่งเตรียมก้าวสู่ตำแหน่งตลาดขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลกในปีนี้ ยังคงกำหนดโควต้าการนำเข้าภาพยนตร์จากต่างประเทศ ที่สามารถนำออกฉายบนแดนมังกรอีกด้วย