อุตสาหกรรมภาพยนตร์ช้ำหนัก รัฐเมินจัดตั้งเป็น องค์การมหาชน ซ้ำหดงบสนับสนุนเหลือเพียง 19ล้านบาท จากที่ยื่นไปพันล้านบาท หวั่นสถาณการณ์ถดถอย มีสิทธิ์หลุดฮับอาเซียน หลังพบปัจจุบันอุตสาหกรรมภาพยนตร์มีมูลค่า 77,000 ล้านบาท เริ่มทรงตัว
นายจาฤก กัลย์จาฤก ประธานสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า ปัจุบันประเทศไทย ถือเป็นฮับในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอาเซียน ซึ่งตลาดมีมูลค่ากว่า 77,000 ล้านบาท โดยในขณะนี้มีแนวโน้มการเติบโตคงที่ เนื่องจากขาดการสนับสนุนและส่งเสริมจากภาครัฐ ที่สำคัญยังมีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในยุคดิจิทัล เชื่อว่าหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป อาจทำให้ในอนาคต ไทยจะหลุดจากการเป็นฮับในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อาเซียนได้
ในขณะที่ประเทศในแถบอาเซียนเองต่างมียุทธศาสตร์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน เช่น รัฐบาลมาเลเซียมีกองทุนสนับสนุนปีละกว่า 4,000ล้านบาท ทั้งยังเตรียมสร้างเขตนิคมถ่ายภาพยนตร์และให้สิทธิพิเศษด้านภาษี เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติให้ใช้สถานที่ในมาเลเซียในการถ่ายทำ ส่งผลต่อเนื่องถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ส่วนไทยเองล่าสุด ในปีงบประมาณ 2556 เม็ดเงินการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์จากสำนักงานงบประมาณมีมูลค่าเพียง 19ล้านบาท ทั้งที่กระทรวงวัฒนธรรมได้ยื่นขอไปเป็นมูลค่ากว่าพันล้านบาท สะท้อนถึงการละเลยความสำคัญในอุตสาหกรรมนี้ของภาครัฐเป็นอย่างมาก
รวมถึงเรื่องของ พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 ซึ่งกำหนดให้จัดตั้งหน่วยงานหรือองค์การมหาชน เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ แต่นับจากผ่านร่าง พ.ร.บ. จนถึงปัจจุบันระยะเวลากว่า 5ปี ก็ยังคงไม่มีการจัดตั้ง เนื่องจากความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาล ทำให้นโยบายไม่ได้รับการสานต่อด้วย
ด้านนางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวเสริมว่า ขณะ นี้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้จัดตั้งองค์กรมหาชน เนื่องจากฐานข้อมูลที่สมาคมฯ ได้วิจัยขึ้น โดยทางภาครัฐกำลังเตรียมจัดทำประชาพิจารณ์ในเดือน พ.ย.นี้ เพื่อนำความคิดเห็นต่อคณะกรรมการภาพยนตร์และวิดีทัศน์ ในการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อมั่นใจว่าการทำงานไม่ซ้ำซ้อนกับกระทรวงการท่องเที่ยว ที่จะอำนวยคววมสะดวกให้แก่กองถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย
นายจาฤก กล่าวต่อว่า ทางสมาคมฯ ได้จัดทำผลสำรวจมูลค่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไว้ 2 ชุด จัดทำขึ้นเองโดยร่วมกับสมาคมผู้สร้างภาพยนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (MPA) ซึ่งได้ว่าจ้างบริษัทวิจัยประเทศอังกฤษ Oxford Economics ในการสำรวจมูลค่าตลาด สำรวจใน 4 ตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ได้แก่ ภาพยนตร์ แอนิเมชั่น คาราโอเกะ และเกม พบว่า ธุรกิจดังกล่าวสร้างรายได้แก่ประเทศ 77,512 ล้านบาท แบ่งภาพยนตร์ 35% แอนิเมชั่น 7% คาราโอเกะ 16% และเกม 42% ส่งเสริมให้มีตำแหน่งงาน 200,000 ตำแหน่ง สร้างรายได้ให้รัฐจากภาษี 5.5 พันล้านบาท
ใกล้เคียงกับผลวิจัยของ MPA ที่ระบุว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์ (ไม่รวมคาราโอเกะและเกม) มีส่วนสนับสนุนทางตรงต่อระบบเศรษฐกิจไทยในปี 2554 โดยคิดเป็นผลิตภัณฑ์มวลรวม 0.65% ของจีดีพี มูลค่า 6.83หมื่นล้านบาท ส่งเสริมให้มีการสร้างงาน 8.6 หมื่ตำแหน่ง และสร้างรายได้จากภาษีราว 2.5พันล้านบาท ซึ่งเมื่อพิจารณาสภาพความเป็นจริง มูลค่าตลาดจริงน่าจะมีมูลค่ากว่าผลสำรวจถึง 3 เท่า เนื่องจากปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่รุนแรงขึ้น
นายจาฤก กัลย์จาฤก ประธานสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า ปัจุบันประเทศไทย ถือเป็นฮับในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอาเซียน ซึ่งตลาดมีมูลค่ากว่า 77,000 ล้านบาท โดยในขณะนี้มีแนวโน้มการเติบโตคงที่ เนื่องจากขาดการสนับสนุนและส่งเสริมจากภาครัฐ ที่สำคัญยังมีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในยุคดิจิทัล เชื่อว่าหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป อาจทำให้ในอนาคต ไทยจะหลุดจากการเป็นฮับในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อาเซียนได้
ในขณะที่ประเทศในแถบอาเซียนเองต่างมียุทธศาสตร์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน เช่น รัฐบาลมาเลเซียมีกองทุนสนับสนุนปีละกว่า 4,000ล้านบาท ทั้งยังเตรียมสร้างเขตนิคมถ่ายภาพยนตร์และให้สิทธิพิเศษด้านภาษี เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติให้ใช้สถานที่ในมาเลเซียในการถ่ายทำ ส่งผลต่อเนื่องถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ส่วนไทยเองล่าสุด ในปีงบประมาณ 2556 เม็ดเงินการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์จากสำนักงานงบประมาณมีมูลค่าเพียง 19ล้านบาท ทั้งที่กระทรวงวัฒนธรรมได้ยื่นขอไปเป็นมูลค่ากว่าพันล้านบาท สะท้อนถึงการละเลยความสำคัญในอุตสาหกรรมนี้ของภาครัฐเป็นอย่างมาก
รวมถึงเรื่องของ พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 ซึ่งกำหนดให้จัดตั้งหน่วยงานหรือองค์การมหาชน เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ แต่นับจากผ่านร่าง พ.ร.บ. จนถึงปัจจุบันระยะเวลากว่า 5ปี ก็ยังคงไม่มีการจัดตั้ง เนื่องจากความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาล ทำให้นโยบายไม่ได้รับการสานต่อด้วย
ด้านนางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวเสริมว่า ขณะ นี้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้จัดตั้งองค์กรมหาชน เนื่องจากฐานข้อมูลที่สมาคมฯ ได้วิจัยขึ้น โดยทางภาครัฐกำลังเตรียมจัดทำประชาพิจารณ์ในเดือน พ.ย.นี้ เพื่อนำความคิดเห็นต่อคณะกรรมการภาพยนตร์และวิดีทัศน์ ในการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อมั่นใจว่าการทำงานไม่ซ้ำซ้อนกับกระทรวงการท่องเที่ยว ที่จะอำนวยคววมสะดวกให้แก่กองถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย
นายจาฤก กล่าวต่อว่า ทางสมาคมฯ ได้จัดทำผลสำรวจมูลค่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไว้ 2 ชุด จัดทำขึ้นเองโดยร่วมกับสมาคมผู้สร้างภาพยนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (MPA) ซึ่งได้ว่าจ้างบริษัทวิจัยประเทศอังกฤษ Oxford Economics ในการสำรวจมูลค่าตลาด สำรวจใน 4 ตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ได้แก่ ภาพยนตร์ แอนิเมชั่น คาราโอเกะ และเกม พบว่า ธุรกิจดังกล่าวสร้างรายได้แก่ประเทศ 77,512 ล้านบาท แบ่งภาพยนตร์ 35% แอนิเมชั่น 7% คาราโอเกะ 16% และเกม 42% ส่งเสริมให้มีตำแหน่งงาน 200,000 ตำแหน่ง สร้างรายได้ให้รัฐจากภาษี 5.5 พันล้านบาท
ใกล้เคียงกับผลวิจัยของ MPA ที่ระบุว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์ (ไม่รวมคาราโอเกะและเกม) มีส่วนสนับสนุนทางตรงต่อระบบเศรษฐกิจไทยในปี 2554 โดยคิดเป็นผลิตภัณฑ์มวลรวม 0.65% ของจีดีพี มูลค่า 6.83หมื่นล้านบาท ส่งเสริมให้มีการสร้างงาน 8.6 หมื่ตำแหน่ง และสร้างรายได้จากภาษีราว 2.5พันล้านบาท ซึ่งเมื่อพิจารณาสภาพความเป็นจริง มูลค่าตลาดจริงน่าจะมีมูลค่ากว่าผลสำรวจถึง 3 เท่า เนื่องจากปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่รุนแรงขึ้น
