ไชน่าเดลี - ในปี 2554 กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของจีน (ซีไอซี) ขาดทุนถึง 4.3 เปอร์เซ็นต์ จากยอดรวมการลงทุนในต่างแดน เนื่องมาจากสภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซาขนานใหญ่
ซีไอซีเผยในรายงานประจำปีเมื่อวันพุธ (25 ก.ค.) ว่าครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของการขาดทุนนับแต่ปี 2551 ซึ่งขณะนั้นถูกกระแสวิกฤติการเงินถาโถมเข้าใส่
“กองทุนมั่งคั่งของจีนก็ได้รับผลกระทบจากการไปลงทุนต่างประเทศ เฉกเช่นเดียวกับกองทุนมั่งคั่งรายใหญ่และสถาบันการลงทุนระดับโลกอื่น ๆ อันเนื่องมาจากตลาดโลกอยู่ในช่วงขาลง” หวัง ซู่หลิน โฆษกซีไอซีเผยในการแถลงข่าวที่กรุงปักกิ่ง
ตัวอย่างกองทุนมั่งคั่งของสิงคโปร์ ที่กำไรหดไปถึง 16 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีงบประมาณที่ผ่านมา รายรับประจำปีก็ตกลงจาก 4.6 เปอร์เซ็นต์มาเป็น 1.5 เปอร์เซ็นต์
ขณะเดียวกัน นายโหลว จี้เหว่ย ประธานบริหารซีไอซีเผยว่า ขณะนี้เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในช่วงที่เปราะบาง “ซีไอซีจะใช้นโยบายการลงทุนที่สุขุมคัมภีรภาพต่อไป และจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ผลตอบแทนที่งอกงามจากการลงทุนภายใต้ขอบเขตของความเสี่ยงที่ยอมรับได้”
เมื่อปีที่ผ่านมา สินทรัพย์ทั้งหมดของซีไอซี รวมทั้งสถาบันการลงทุนภาคการเงินภายใต้กำกับของกระทรวงการคลังจีน (Central Huijin Investment) มีรวม 482,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 17.7 เปอร์เซ็นต์ ซีไอซีรายงานกำไรสุทธิทั้งภาคการลงทุนภายในและนอกประเทศอยู่ที่ 48,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 6 เปอร์เซ็นต์ปีต่อปี
ผลตอบแทนภาคการลงทุนในปี 2553 อยู่ที่ 11.7 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ผลตอบแทนสะสมรายปีเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.8 เปอร์เซ็นต์ นับแต่ซีไอซีก่อตั้งมาจากเดือนก.ย. 2550
นายหวังกล่าวว่า การขาดทุนในภาคการลงทุน มีสาเหตุหลัก ๆ อยู่ที่มูลค่าของสินทรัพย์มีความผันผวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเงินและการลงทุนด้านพลังงาน ซึ่งนับเป็น 2 ขาใหญ่ที่ซีไอซีทุ่มลงทุน โดยสินทรัพย์ภาคการเงินนั้นคิดเป็น 19 เปอร์เซ็นต์ของการลงทุน ขณะที่ภาคพลังงานอยู่ที่ 14 เปอร์เซ็นต์
ขณะเดียวกัน “บางโครงการที่ซีไอซีเข้าลงทุนยังคงอยู่ในขั้นเริ่มต้นและรอวันรับผลตอบแทนงอกงาม” หวังกล่าว
จากรายงานฯ ซีไอซีย้ำว่า วิสัยทัศน์ระยะยาวก็คือการขยายการลงทุนในช่วง 5 ถึง 10 ปีนับแต่ปีที่ผ่านมา โดยซีไอซีได้ปรับการจัดสรรสินทรัพย์เพื่อการลงทุนให้มีความเหมาะสมมากขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นว่าการลงทุนระยะยาวจะกินสัดส่วน 31 เปอร์เซ็นต์ของยอดรวมการลงทุนทั่วโลก
ซีไอซีก็ได้ปรับโครงสร้างการจัดการในปี 2554 ใหม่โดยก่อตั้ง ซีไอซีอินเตอร์เนชั่นแนล ขึ้น ซึ่งมีหน้าที่การจัดการลงทุนในต่างแดนโดยเฉพาะ ในเดือนธ.ค. มีการอัดฉีดเงินเข้าไปในซีไอซีอินเตอร์เนชั่นแนล 30,000 ล้านเหรียญฯ เพื่อนำไปขยายบทบาทการถือครองสกุลเงินตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศเพื่อเก็งกำไรที่หลากหลายขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อ การลงทุนต่างแดนของจีนจะสดใสในระยะยาว ติง จี้เจี๋ย คณบดีคณะการธนาคารและการเงิน แห่งมหาวิทยาลัยธุรกิจและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เผยว่า การลงทุนโดยการเข้าถือหุ้นส่วนโดยตรงอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการเก็งกำไรภาคการเงินในระยะยาว
“ผลตอบแทนจากการลงทุนถือหุ้น ท้ายที่สุดแล้วจะให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ตอนที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้นก็จะส่งผลให้มูลค่าต่อหุ้นเพิ่มขึ้นด้วย” ติงกล่าว
อย่างไรก็ดี ซีไอซีได้ลดการถือหุ้นในยุโรปลง 1.1 จุด เหลือ 20.6 เปอร์เซ็นต์เมื่อสิ้นปี 2554 ขณะที่สินทรัพย์ในอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น 1.9 จุด เป็น 43.8 เปอร์เซ็นต์
ในรายงานเมื่อเดือนมิ.ย. เดอะวอลสตรีทเจอร์นัล ยกคำกล่าวของประธานบริหารซีไอซีว่า ซีไอซีจะลดการลงทุนในภาคตลาดหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลในตลาดยุโรปลง เนื่องจากวิกฤติการณ์ที่กำลังกัดกินเศรษฐกิจยุโรป
นอกจากนั้นซีไอซียังได้ลดสัดส่วนการลงทุนกองทุนตราสารหนี้จาก 27 เปอร์เซ็นต์ในปี 2553 เหลือ 21 เปอร์เซ็นต์ในปี 2554 “การขายกองทุนตราสารหนี้ออกไปก็ชี้ให้เห็นว่าซีไอซีได้นำมาตรการบรรเทาความสูญเสียมาใช้แล้ว” หู หงไฉ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของศูนย์การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เผย
หวัง เผยว่า แม้ว่าซีไอซีจะลดการลงทุนการถือครองพันธบัตรรัฐบาลในยุโรปลง ขณะที่การปรับลดความน่าเชื่อถือของบริษัทจัดอันดับมูดี้ส ก็ชี้ให้เห็นว่าการปรับตัวลดลงของหุ้นในยุโรป ก็เป็นการเปิดโอกาสให้แก่การลงทุนทางตรงภาคอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ติงไม่เชื่อว่าการเข้าถือเงินยูโรจะเป็นทางเลือกที่ดี ชี้ว่า ขณะนี้วิกฤติการณ์ในยุโรปยังไม่ถึงจุดต่ำสุด “จีนจำเป็นต้องถือครองสกุลเงินที่หลากหลาย”
ทั้งผู้กำหนดนโยบายและนักธุรกิจในยุโรปกำลังมองหาผู้ลงทุนจากจีน
คาเรล เดอ กัชต์ คณะกรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรปเผยว่า การทำธุรกิจกับจีนเป็นหนึ่งหนทางที่จะนำการเติบโตที่ดีคืนสู่ยุโรป การเกี่ยวข้องทางการค้ากับจีนจะทำให้เศรษฐกิจมีการขยับเขยื้อนมากขึ้น กัชต์กล่าวพร้อมชี้ว่า การที่ยุโรปหวาดกลัวการลงทุนจากจีนนั้นเป็นมุมมองที่ผิดพลาด
“ทางฝั่งยุโรป ยังคงมีความกลัวนักลงทุนจากจีนอยู่มาก และสิ่งนี้ถือว่าผิดพลาดมหันต์” เขากล่าวประโยคนี้ที่ลอนดอน