เอเยนซี - บรรดาผู้คุมนโยบายและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน เชื่อมั่นขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่รู้จักทั้งชะลอช้า และควบเร่ง เหมือนการขับรถไปตามถนนขรุขระ ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนผ่านช่วงวิกฤติโลก และเลี่ยงปัญหาอุปสรรคภายในพร้อมทั้งใช้การบริโภคภายในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อน
สื่อจีนรายงาน (18 ก.ค.) ว่าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่สองซึ่งตกลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7.6 เทียบกับปีก่อนหน้า ร่วงจากร้อยละ 9.5 เวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และตกลงมา 0.5 เทียบกับอัตราเติบโตร้อยละ 8.1 ของไตรมาสแรก ซึ่งเป็นตัวเลขการขยายตัวที่ต่ำกว่าร้อยละ 8 เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี และแม้ว่า จังหวะก้าวย่างเศรษฐกิจจีนยังไม่สะดุด แต่ก็คงจะไม่ค่อยลื่นไหลนัก ก่อนหน้านี้ ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลก จีนเคยพบกับอัตราถดถอยเศรษฐกิจหนักๆ ในช่วงปีพ.ศ. 2551 - 2552 โดยไตรมาสแรกของปี 2552 ตอนนั้น อัตราเติบโตเศรษฐกิจจีนอยู่ที่ร้อยละ 6.6 ก่อนที่จีนจะระดมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมโหฬารเพื่อรักษาระดับเติบโตไว้
สำหรับการเติบโตที่ชะลอลงไปนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะปัญหาเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจถดถอยหนักของกลุ่มยูโรป ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีน ขณะที่การฟื้นตัวของสหรัฐฯ ก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มๆ ขนาดที่ว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้แถลงเมื่อวันจันทร์ ว่าได้ปรับลดคาดการณ์เติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในโลก และยังเฝ้าติดตามความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจลุกลามไม่หยุด
เฉิน เต้อหมิง รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีน เคยกล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า ในปีนี้ (ถ้าโชคดี) จีนจะสามารถรักษาการค้าระหว่างประเทศให้เติบโตอยู่ระดับร้อยละ 10 ได้
ขณะที่หลายฝ่ายเชื่อว่า การเติบโตที่ช้าลงส่วนหนึ่งเป็นไปด้วยความตั้งใจเพื่อต้องการคุมการเติบโตที่เกินจริงโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อ โดยรัฐบาลได้ออกมาตรการจำนวนมากเพื่อควบคุมการเติบโตที่ไม่สมดุลย์ของที่อยู่อาศัยและราคาฯ จนทำให้เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 29 เดือน
ด้านนางลาเอล เบรนนาร์ด รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ กล่าวเชื่อมั่นว่า จีนมีศักภาพมากพอในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และคาดว่ามาตรการเศรษฐกิจจีนยังมีศักยภาพมากพอในการหลีกเลี่ยงเศรษฐกิจร่วงทรุดรุนแรง
เบรนนาร์ดกล่าวว่า จีนมีวินัยในการดำเนินงานเพื่อให้เป็นตามเป้าหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ และการกำหนดนโยบายของจีนในการส่งเสริมผู้บริโภคภายในประเทศในขณะที่รักษาความสมดุลให้ได้อย่างต่อเนื่องก็น่าจะมีศักยภาพ อีกทั้งในการประเมินศรษฐกิจของจีนอย่างถูกต้องนั้น ต้องใช้ดัชนีชี้วัดหลายรายการ มากกว่าลำพังเพียงดัชนีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งรวมถึงการประเมินในภาพกว้างถึงความพยายามเพื่อสร้างความสมดุลการเติบโตและขยายตัวที่มีความยั่งยืน่ในระยะยาวด้วย ซึ่งจะพบว่าจีนได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และยังดำเนินงานอย่างสอดคล้องกับแผน 5 ปี ฉบับที่ 12 อยู่ และที่น่าสนใจคือการลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญของ ยอดเกินดุลของบัญชีเดินสะพัดในปัจจุบันของจีน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการแข็งค่าของเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลังจากที่ปรับค่าเงินเฟ้อแล้ว
หวัง เถา นักเศรษฐศาสตร์จาก ยูบีเอส ซีเคียวริตี้ส์ (UBS Securities) ให้ความเห็นว่า การเร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศจะเป็นหนทางยั่งยืนของความเติบโตเศรษฐกิจจีน
หลี่ เว่ย และ สเตฟาน กรีน นักวิเคราะห์จากสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ส เขียนในรายงานฯ ว่า คาดว่าเศรษฐกิจโดยรวมของจีนจะมีความกระเตื้องขึ้นในครึ่งปีหลัง หลังจากที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และเพิ่มการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค
เซิง ไหล่ยวิ่น โฆษกของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน กล่าวว่า หลังจาก 30 ปี ที่จีนโตไม่หยุด เราก็เข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และเป็นปกติที่อัตราเติบโตต้องชะลอช้าลง อย่างไรก็ดี เรายังมีพื้นที่เติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุนอีกมากในประเทศ ทั้งด้านอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การค้าการตลาดระหว่างประเทศ และสำหรับตัวเลขเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 7.5
ขณะที่ไฟแนนเชียล ไทม์ รายงานความเห็นของ นิค ลาร์ดี้ จาก สถาบันเศรษฐกิจระหว่างประเทศปีเตอร์สัน ว่า ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา จีนได้ลงทุนในสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 40 ของจีดีพี ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ และการจะถอนตัวบางทีก็ไม่ง่าย และตัวเลขจีดีพีที่ตกลงต่อเนื่อง จนเกือบเท่าจุดที่อ่อนแอสุดในปี 2552 ก็คงมีผลกระทบต่อสัดส่วนการลงทุนทางด้านสินทรัพย์ต่างๆ ของจีน และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศจะเป็นปัจจัยหลักที่จีนจะพึ่งพา
ไฟแนนเชียล ไทม์ ระบุ (17 ก.ค.) ว่า บรรดานักวิเคราะห์ต่างมีความเชื่อว่า ภาวะนี้จะดีต่อจีน เพราะสำหรับโลกเศรษฐกิจที่ยังผันผวนอ่อนแอ ถ้าจีนยังโหมระห่ำ มีหวังว่าเวลาล้มจะดังและสั่นสะเทือนมาก และการลงทุนแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ก็จะหมักหมมเข้าไปอีกแน่ๆ
เผิง เวิ่นเซิง หัวหน้าทีมเศรษฐกิจจาก ไชน่าอินเตอร์เนชั่นแนล แคปิตอล คอร์ป (China International Capital Corp) กล่าวว่า "จีนกำลังอยู่ในช่วงเฝ้าระวัง จำเป็นต้องรักษาสมดุลย์ทั้งการเติบโตระยะสั้น และระยะยาว จะไปกังวลแค่ผลเติบโตระยะสั้นทำให้เสียการใหญ่ในระยะยาวไม่ได้"