รอยเตอร์ - “จีนจะต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยการปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อกระจายความมั่งคั่งให้แผ่ไพศาล พร้อม ๆ กับเติบโตอย่างยืดหยุ่นเพื่อเผชิญความเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกได้” นายกรัฐมนตรีจีนลั่น (14 มี.ค.) หลังจากพิธีปิดการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติประจำปี 2555
นายเวิน จยาเป่า นายกรัฐมนตรีจีนเผยว่า รัฐบาลปักกิ่งควรจะปล่อยให้ค่าเงินหยวนขึ้นลงอย่างอิสระมากขึ้น พร้อมกับควบคุมความเสี่ยงภาคอสังหาริมทรัพย์และปัญหาเงินเฟ้ออย่างเข้มงวด จัดการปัญหาหนี้สาธารณะของรัฐบาลท้องถิ่น ลดแรงกดดันจากภายนอก พร้อมเน้นย้ำการปฏิรูปทางการเมืองว่าจำเป็นสำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนอย่างไม่อาจเลี่ยง
“ในปีสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ เราได้เผชิญปัญหานานัปการ” นายกเวินวัย 69 ปีกล่าวปาฐกถา 3 ชั่วโมง ครั้งสุดท้ายในการแถลงข่าวของการประชุมสภาผู้แทนประชาชนฯ ที่เวินอยู่ในตำแหน่งประธานมาเป็นเวลาทศวรรษ
“การปฏิรูปมาถึงจุดสำคัญ หากไม่ปฏิรูปการเมืองให้สำเร็จ ก็ไม่สามารถผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจได้ และผลที่เราตั้งไว้ก็จะไม่ลุล่วง” เวินกล่าว
นายกเวินเป็นผู้นำที่โดดเด่นของจีนที่กล้าลุกขึ้นต่อสู้ให้มีมาตรการผ่อนคลาย ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ แม้ช่วงที่เวินกำลังจะหมดวาระ เวินก็ยังเรียกร้องการปฏิรูปการเมืองอย่างตรงไปตรงมา
เวินจะหมดวาระในปีหน้า พร้อม ๆ กับประธานาธิบดีหู จิ่นเทา หลังจากที่ดำรงตำแหน่งในอำนาจมาเป็นเวลาทศวรรษ ซึ่งก็อยู่ในช่วงที่จีนก้าวเป็นมหาอำนาจลำดับสองทางเศรษฐกิจของโลก แม้ว่าปีนี้จะเป็นปีที่จีนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจช้าสุดในระหว่างที่เวินดำรงตำแหน่งมาก็ตาม
เวินเปิดการประชุมสภาผู้แทนประชาชนฯ ก่อนหน้านี้โดยประกาศว่าจะตัดลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนให้อยู่ที่ 7.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปีในปี 2555 จากที่ก่อนหน้านี้คาดหวังให้แต่ละปีเติบโต 8 เปอร์เซ็นต์ เวินชี้ว่าตัวเลขที่คาดหวังเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจจีนสามารถเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดี
“สืบเนื่องจากปัญหาวิกฤติหนี้ฯ ของสหภาพยุโรป และภาวะตกต่ำของตลาดภายนอก ทำให้เกิดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจของจีน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จีนต้องลดเป้าการขยายตัวเพื่อก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างภายในอย่างสอดคล้อง” เวินชี้แจง
ปฏิรูป “หยวน”
“จากนั้นเราต้องก้าวปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ขณะนี้ค่าเงินหยวนของจีนกำลังปรับตัวใกล้สู่จุดที่สมดุลแล้ว”
เงินหยวนเป็นประเด็นสายล่อฟ้าให้เกิดวิวาทะระหว่างจีนและคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ ซึ่งมักจะกล่าวโทษจีนว่า หนุนหลังค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าเพื่อให้ส่งออกได้ในราคาถูก
ในปี 2548 จีนยกเลิกการตรึงค่าเงินเหรินเหมินปี้ หรือเงินหยวน กับดอลลาร์สหรัฐ และเงินหยวนก็ได้แข็งค่าขึ้นรวมๆแล้ว ราว 30 เปอร์เซ็นต์ กระทั่งในปลายปี 2551 จีนผจญวิกฤตการเงินโลกพ่นพิษใส่ภาคส่งออกจนอัตราเติบโตชะลอตัว จึงหันมาตรึงค่าเงินหยวนโดยพฤตินัย ไว้ที่ 6.83 หยวน ต่อดอลลาร์ ระหว่างเวลาเกือบสองปีนี้ ค่าเงินหยวนปรับตัวขึ้นลงไม่เกิน 0.5 เปอร์เซ็นต์ สร้างความขุ่นเคืองเหลือแสนแก่กลุ่มชาติอำนาจตะวันตก นักวิจารณ์ตะวันตกชี้ว่า รัฐบาลจีนยังคงควบคุมเงินหยวนอย่างเข้มงวดเกินไป
เวินชี้ว่า การปฏิรูประบบการเมืองจีนนั้นจะเป็นเพื่อการแก้ไขพิษเศรษฐกิจ แต่ต้องมีระเบียบและค่อยเป็นค่อยไป เวินเผยด้วยว่า ปัญหาความไม่เป็นธรรมทางกฎหมายและสังคมก่อให้เกิดความวุ่นวายและปัญหาสังคมจีนนานัปการ
ปัญหาสังคมจีน
สังคมที่เป็นเอกภาพ เป็นสิ่งที่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนใฝ่ฝันหา ซึ่งก็จะเป็นตัวชี้วัดด้วยว่า ระบบพรรคเดียวนั้นสามารถอยู่ในอำนาจแล้วเป็นหลักหมายให้เกิดความมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองแก่ชาติที่มีประชากรมากถึง 1,300 ล้านคน แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นคนจนก็ตาม
มองย้อนเศรษฐกิจจีนนั้นถือว่าค่อย ๆ เพิ่มความมั่งคั่งแต่เฉพาะคนรวยในเขตเมืองเป็นหลัก แม้ว่ารัฐบาลของเวินจะเน้นที่การกระจายรายได้และสวัสดิการสังคมแก่ชาวนาผู้ยากไร้ และแรงงานอพยพชนบทที่แห่เข้าเมืองหางานทำก็ตาม
“ในขณะที่เศรษฐกิจพัฒนา มันก็ได้ก่อให้เกิดการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม เกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ปัญหาคอร์รัปชั่น และประเด็นอื่น ๆ อีกมากมาย” เวินชี้
“เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ก็จำเป็นที่จะต้องปฏิรูปทั้งเศรษฐกิจและการเมืองไปพร้อมกัน โดยเฉพาะพรรคคอมมิวนิสต์ และระบบผู้นำของรัฐด้วย”
การประชุมสภาผู้แทนของจีนฯ ซึ่งก็ถือว่าเป็นของพรรคคอมมิวนิสต์ ได้แสดงให้เห็นการมีนโยบายที่เป็นเอกภาพมากกว่าจะเห็นภาพของการโต้แย้งกันเหมือนสภาของหลายประเทศ เวลาแถลงข่าว เจ้าหน้าที่ก็ได้เลือกคำถามจากสื่อไว้ก่อนแล้วด้วยซ้ำ เพื่อไม่ให้นายกฯ ต้องตอบคำถามแปลก ๆ
คดีอื้อฉาว ปั๋ว ซีไหลถูกพาดพิง
ทว่าความเป็นเอกภาพดังกล่าวดูเหมือนจะคลอนแคลนลงจากกรณีอื้อฉาวของนายปั๋ว ซีไหล เลขาธิการพรรคฯ แห่งฉงชิ่ง
ความหวังของปั๋วที่จะได้เข้ามาเป็นผู้นำพรรคต้องถูกพายุการเมืองพัดโหมอย่างหนัก หลังจากมือขวาของเขา เจ้ากรมตำรวจหวัง ลี่จวินขับรถหนีไปขอลี้ภัยการเมืองยังสถานกงสุลมะกันที่เมืองเฉิงตู และพักอยู่ในนั้นเป็นวัน และขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังไต่สวนหวังเพื่อให้คดีกระจ่าง
นายกเวินพูดถึงประเด็นนี้ว่า “คณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งฉงชิ่งปัจจุบันและรัฐบาลมหานาครฉงชิ่งจะต้องได้รับผลกระทบและเรียนรู้จากคดีของหวัง ลี่จวิน”
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ผู้นำหู และเวิน ก็ถูกวิจารณ์การทำงานว่าล้มเหลวในการปฏิรูปอย่างจริงจังในการสร้างการเติบโตในระยะยาวและการสร้างความมั่งคั่ง ต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะพยายามยกระดับประชาชน 600 ล้านคนให้พ้นจากความยากจน ในช่วงเวลา 3 ทศวรรษ นับแต่ผู้นำเติ้ง เสี่ยวผิงเริ่มปฏิรูปและเปิดประเทศนับเต่ปี 2521
“เงินเฟ้อ แรงงาน อสังหา” ปัญหาใหญ่ของรัฐบาลจีน
การเติบโตที่ช้าลงจะช่วยให้จีนสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ ทั้งนี้เงินเฟ้อจีนแตะระดับสูงสุดในเดือนก.ค.ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 6.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเหนือคาดหมายของรัฐที่ต้องการให้อยู่ในระดับ 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
นอกจากนั้น แรงงานจีนอีก 800 ล้านคนได้รับค่าแรงต่ำมาก และยังมีประชากรอีกประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีรายได้น้อยกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อวัน ซึ่งพวกเขาต้องเผชิญปัญหาราคาสินค้าพุ่งสูง
นายกเวินกล่าวถึงประเด็นราคาบ้าน ซึ่งเริ่มลดลงต่ำบ้างแล้ว หลังจากที่เมื่อ 10 ปีก่อนราคาบ้านลอยตัวถึง 10 เท่า ความพยายามในการควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลนั้นมีความเสี่ยงอย่างมาก เพราะอาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่แตกได้
“หากพวกเราไม่จริงจังต่อการแก้ปัญหา สิ่งที่พวกเราหวังว่าจะให้สำเร็จก็จะต้องมลายไปสิ้น ราคาบ้านนั้นกระทบต่อหลายส่วน เช่น รายได้ การลงทุน และกำไร ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องไตร่ตรองถี่ถ้วน” เวิ้นย้ำ
หากราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลง ย่อมอาจให้เกิดความวุ่นวายได้ ทำให้รัฐบาลท้องถิ่นได้รายได้จากการขายที่ดินเพื่อระดมเงินน้อยลง เพราะขณะนี้รัฐบาลท้องถิ่นจีนมีหนี้สินสาธารณะประมาณ 10.7 ล้านล้านหยวนทีเดียว