สำนักข่าวซินหวา - นักวิเคราะห์ระบุ จีนเตรียมพร้อมผ่อนคลายนโยบายคุมเข้มทางการเงิน โดยจะเลือกดำเนินการเพียงบางส่วน และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะอันสั้นนี้
นาย ซุ่น เจียนหลิง ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการบริหารสินเชื่อของธนาคารไชน่าซิติกระบุว่า แม้รัฐบาลปักกิ่งแสดงท่าทีอย่างมาก ที่จะปรับนโยบายมหภาค แต่ก็จะไม่เปลี่ยนจุดยืนดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างระมัดระวัง และอาจปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างเลือกเป้าหมาย โดยธนาคารจะเลือกปล่อยสินเชื่อแก่อุตสาหกรรม ที่สอดคล้องกับนโยบายมหภาคเป็นกลุ่มแรก
ขณะที่นายหลี่ เต้าคุย ที่ปรึกษาของธนาคารกลางจีนชี้ว่า นโยบายการเงินของจีนควรรักษาเสถียรภาพเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงค่อยปรับ โดยพิจารณาพัฒนาการ ที่เกิดขึ้นในชาติคู่ค้าสำคัญของจีนด้วย เช่นสหภาพยุโรป หรืออียู สหรัฐฯ และอินเดีย
รัฐบาลจีนแถลงภายหลังการประชุมหารือเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยระบุว่า รัฐบาลจะรักษาการปล่อยสินเชื่อให้ขยายตัวอย่างสมเหตุผล และสนับสนุนการลดการจัดเก็บภาษีในเชิงโครงสร้าง นอกจากนั้น จะเพิ่มการสนับสนุนด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดเล็ก (SMEs) ตลอดจนโครงการต่าง ๆ ซึ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่นโครงการก่อสร้างบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อย
การคุมเข้มนโยบายทางการเงินของรัฐบาลจีนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะลอการเติบโตและภาวะเงินเฟ้อคลายความร้อนแรงลง โดยจีดีพีของจีนในไตรมาส 3 ของปีนี้โตร้อยละ 9.1 จากร้อยละ 9.5 ในไตรมาส2 และร้อยละ 9.7 ในไตรมาสแรก และชะลอการเติบโตมากที่สุด นับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ของปี 2552 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม การเข้มงวดนโยบายทางการเงินก็สร้างความลำบากต่อการลงทุนและการเงินของบริษัทผู้ประกอบการ ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนสินเชื่อ ธนาคารของรัฐบางรายจึงได้รับอนุญาตให้เพิ่มการปล่อยสินเชื่อในขอบเขตเหมาะสม แหล่งข่าวด้านการธนาคารระบุเมื่อวันอังคาร (1 พ.ย.) ว่า ธนาคารต่าง ๆ กำลังเร่งปล่อยสินเชื่อในช่วงไตรมาส 4 และเงินกู้ในรูปเงินหยวนตลอดทั้งปีอาจชนเพดานที่ธนาคารกลางจีนกำหนดที่ 7.5 ล้านล้านหยวนก็เป็นได้
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยังปล่อยเงินจำนวน 96,000 ล้านหยวนเข้าสู่ตลาดเงินในสัปดาห์นี้ (31ต.ค.- 6พ.ย.) ซึ่งเป็นการอัดฉีดเงินสดก้อนแรกในรอบ 4 สัปดาห์
นอกจากนั้น นายจู ต้าหมิง นักเศรษศาสตร์ในนครเซี่ยงไฮ้ ยังคาดการณ์ด้วยว่า มีโอกาสที่จีนจะประกาศลดสัดส่วนทุนสำรองของธนาคารในระยะเวลาอันใกล้ และอาจมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสิ้นปี หรือในต้นปีหน้าอีกด้วย