xs
xsm
sm
md
lg

บทบาทของธนาคารกลาง ต่อราคาทองคำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึงสองเดือน ราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับตัวขึ้นไปถึงเกือบ 300 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ จากระดับ 1,500 ดอลล่าร์ฯต่อออนซ์ในต้นเดือนกรกฏาคม พุ่งมาเป็นระดับเกือบ 1,800 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม แม้จะมีการอ่อนตัวลงไปบ้างหลังจากนั้น แต่ก็ยังคงยืนอยู่เหนือระดับ 1,700 ดอลล่าร์ได้

นอกจากปัญหาที่สหรัฐฯโดนปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือแล้ว ราคาทองคำในตลาดโลกก็ยังพุ่งขึ้น จากกระแสข่าวว่า ฝรั่งเศส อาจจะเป็นอีกประเทศหนึ่งที่อาจจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงมาจาก AAA เช่นเดียวกับประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากระดับหนี้ที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,800 ดอลล่าร์สหรัฐฯในช่วงเช้าวันที่ 11 สิงหาคม ก่อนจะอ่อนตัวลงมา หลังจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้ง 3 แห่ง คือ Fitch, S&P’s และ Moody’s ได้ออกมายืนยันว่า ประเทศฝรั่งเศสยังคงฐานะประเทศที่ระดับ AAA อยู่ และยังไม่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้

อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากปัญหาเศรษฐกิจที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ผลักดันให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คือ การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลาง เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ โดยหลังจากที่มีข่าวออกมาว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ เข้าซื้อทองคำเพิ่มเป็นครั้งแรกในหลายปี ก็ยิ่งทำให้ตลาดตอบสนองต่อข่าวดังกล่าว และผลักดันให้ราคาทองคำปรับขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

จากข้อมูลของ World Gold Council ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ธนาคารกลางทั่วโลก มีการถือครองทองคำเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศประมาณ 30,700 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 12% ของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมด โดยประเทศที่มีการถือครองทองคำมากที่สุด คือสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือครองกว่า 8,133 ตัน คิดเป็นสัดส่วนถึง 74% ของเงินทุนสำรองของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ไทยเอง ก็มีการถือครองทองคำ 127.5 ตัน แต่คิดเป็นสัดส่วนเพียง 3.3% ของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยเท่านั้น

ทั้งนี้ ตัวเลขที่น่าสนใจคือ เพียงแค่ 6 เดือนแรกของปีนี้ ธนาคารกลางทั่วโลก ได้มีการเข้าซื้อทองคำเพิ่มเติมถึง 208 ตัน ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นกว่า 100% จากรอบ 6 เดือนหลังของปี 2553 โดยเมื่อพิจารณาเฉพาะในเดือนมิถุนายน 2554 ธนาคารกลางเกาหลีใต้ซื้อทองคำเพิ่มขึ้น 25 ตัน ซึ่งเป็นการซื้อเพิ่มครั้งแรกในรอบ 13 ปี ในขณะที่ประเทศไทย ก็มีการซื้อเพิ่มถึง 18 ตัน ทำให้ในรอบ 6 เดือนแรกของปีนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยซื้อทองคำเพิ่มเข้าเป็นเงินสำรองระหว่างประเทศแล้วถึง 28 ตัน

สาเหตุที่การซื้อทองคำของธนาคารกลาง มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคาทองคำ เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมา ธนาคารกลาง จะเป็นผู้ขายทองคำสุทธิออกมาสู่ตลาด ทำให้ปริมาณทองคำในตลาดโลกมีปริมาณมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการในตลาด ราคาทองคำจึงมีการปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างไรก็ดี ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางกลับมาเป็นผู้ซื้อทองคำสุทธิ ทำให้ความต้องการทองคำในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปริมาณทองคำในตลาดมีจำกัด นอกจากนี้ ปริมาณทองคำที่ธนาคารกลางเข้าซื้อเพิ่มก็มีขนาดค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับปริมาณจากนักลงทุนทั่วไป จึงกระทบกับปริมาณความต้องการทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ รวมไปถึงการที่ธนาคารกลางเข้าซื้อทองคำเพิ่ม ก็เปรียบเสมือนการเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีทองคำขึ้นไปอีก จึงส่งผลกระทบต่อราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้น

ประเด็นที่น่าสนใจคือ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ถือทองคำรายใหญ่อันดับ 6 ของโลก กลับมีการถือครองปริมาณทองคำคิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 1.6% ของทุนสำรองระหว่างประเทศเท่านั้น เมื่อพิจารณาว่า จีนเป็นประเทศที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงที่สุดในโลก โดยสินทรัพย์ส่วนใหญ่ อยู่ในรูปของสกุลเงินดอลล่าร์ จากแนวโน้มที่ค่าเงินดอลล่าร์ ยังคงอ่อนค่าลงเรื่อยๆ จึงมีแนวโน้มที่จีน (รวมถึงธนาคารกลางอื่นๆทั่วโลก ที่มีการถือเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในสกุลดอลล่าร์เป็นหลัก) จะมีการปรับเพิ่มการถือปริมาณทองคำขึ้น โดยครั้งล่าสุดที่ธนาคารกลางจีนได้เข้าซื้อทองคำ คือในปี 2552 ซึ่งหากจีนเข้าซื้อทองคำเพิ่มอีกเมื่อใด น่าจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจของทั้งยุโรป และสหรัฐฯยังคงไม่มีเสถียรภาพ รวมถึงความต้องการทองคำของธนาคารกลางที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยมีมุมมองของราคาทองคำในปลายปี 2554 - กลางปี 2555 อยู่ที่ประมาณ 1,800 - 2,000 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ โดยผู้ลงทุนสามารถทยอยเข้าลงทุนในกองทุน K-GOLD เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการที่ราคาทองคำในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะยาวได้ อย่างไรก็ดี เนื่องจากในช่วง 1 - 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องกว่า 100 เหรียญสหรัฐฯ โดยไม่ได้มีการปรับฐานเลย จึงมีโอกาสปรับตัวลดลงและผันผวนได้มากในระยะสั้น

ที่มา : บลจ.กสิกรไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น