พีเพิล เดลี - ค่าเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าทำนิวไฮเหนือระดับ 6.4 เป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯได้ประกาศว่าจะขยายการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษต่อไปจนถึงปี 2556 และอาจใช้นโยบายการเงินผ่อนปลนเชิงปริมาณ หรือ QE3 ต่อไป
ธนาคารประชาชนจีน หรือ ธนาคารกลาง ได้ประกาศกำหนดค่ากลางอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐต่อเนื่องในวันนี้(11 ส.ค.) เท่ากับ 6.3991 แข็งค่าขึ้นอีก 176 จุดจากระดับ 6.4167 ของเมื่อวาน(10 ส.ค.) ทำนิวไฮสูงสุดนับตั้งแต่รัฐบาลจีนได้มีการปฏิรูปค่าเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐเมื่อเดือนก.ค.ปี 2548
บรรดาผู้เชี่ยวชาญจีนคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนอาจปล่อยให้เงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมากกว่าในปี 2553 ที่ปรับขึ้นโดยรวมราว 5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ยอดเกินดุลการค้าจีนในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี เท่ากับ 31,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นผลจากการขยายตัวของภาคการส่งออกสินค้าไปยังชาติต่างๆ โดยเฉพาะบรรดาชาติยุโรป และชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่ อาทิ อินโดนีเซีย อาร์เจนตินา บราซิล และอินเดีย เป็นต้น
นักวิเคราะห์ชี้ว่า จากข้อมูลสำนักงานศุลกากรจีนระบุ ยอดการส่งออกและนำเข้าที่เพิ่มขึ้นในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับ 318,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนนัยสภาวะเศรษฐกิจจีนที่ยังคงแข็งแกร่ง ทำให้รัฐบาลจีนมีความมั่นใจที่จะปรับขึ้นค่าเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ
หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (เอสแอนด์พี) ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ลงจากระดับ AAA เหลือ AA+ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยชี้ว่าบรรดานักการเมืองอเมริกันไม่สามารถรับมือการขาดดุลงบประมาณครั้งใหญ่ และภาระหนี้สินท่วมท้นได้ ทำให้ในวันอังคาร(9 ส.ค.)ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ได้ยืนยันว่าจะขยายการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษจนถึงกลางปี 2556 ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐมีมูลค่าลดลง
นอกจากนี้เฟดยังส่งสัญญาณว่าอาจดำเนินนโยบายการเงินผ่อนปรนเชิงปริมาณ (Quantative Easing) หรือ QE3 ต่อไป โดยจะรับซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้น เพื่ออัดสภาพคล่องให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
นักวิเคราะห์จีนเชื่อว่าหากสหรัฐฯเริ่มใช้ QE3 กระแสเงินทุน(เงินเก็งกำไร)จากสหรัฐฯจะไหลสู่จีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตราดอกเบี้ยผลตอบแทนสูงกว่า เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่เฟดใช้ QE2 และจะส่งผลให้รัฐบาลจีนจำต้องปรับเงินหยวนแข็งค่าขึ้น
ทั้งนี้รัฐบาลจีนกำลังพยายามคุมเข้มภาวะเงินเฟ้ออย่างสุดความสามารถ โดยนับตั้งแต่เดือนต.ค.2553 รัฐบาลได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วถึง 5 ครั้ง อีกทั้งคุมเข้มการปล่อยกู้ของบรรดาธนาคารจีน