เอเอฟพี - สำนักงานศุลกากรจีน เผย(10 ส.ค.)ว่า ยอดเกินดุลการค้าจีนเดือนก.ค.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเท่ากับ 31,480 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยอดการส่งออกเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นเท่ากับ 6.4167
สำนักงานศุลกากรจีนเผยบนเว็บไซต์ว่า ในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ยอดการส่งออกจีนเพิ่มขึ้น 20.40 เปอร์เซ็นต์ปีต่อปี เท่ากับ 175,130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นมูลค่าการส่งออกรายเดือนที่สูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ยอดการน้ำเข้าเพิ่มขึ้น 22.90 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่ยอดเกินดุลการค้าของจีนเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ขยายตัวเท่ากับ 31,480 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากยอดเกินดุลการค้าเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับ 22,270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งยังมากกว่ายอดเกินดุลที่ดาวโจนส์ได้ทำโพลคาดการณ์ไว้เท่ากับ 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ข้อมูลจากธนาคาร HSBC ระบุ ในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ภาคการส่งออกของจีนขยายตัวมากขึ้น แม้ว่ากิจกรรมการผลิตจีนชะลอตัวลงเป็นครั้งแรกในปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลจีนพยายามชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจและลดความต้องการสินค้าจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางรายได้เผยว่า ในอีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯและยุโรปอาจส่งผลกระทบทางลบต่อภาคการส่งออกของจีน แต่หากจีนใช้นโยบายที่ให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีอัตราการเติบโตสูงเป็นหลัก(Pro-Growth Policy) ก็อาจช่วยฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั่วโลกได้
ขณะที่ Alistair Thornton นักวิเคราะห์จาก IHS Global Insight เผยว่า ยอดส่งออกเดือนก.ค.ของจีนที่ดีดตัวสูง ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยตามฤดูกาล แต่จะมีผลอีกเพียงไม่กี่เดือน หลังจากนั้นยอดการส่งออกจีนจะลดลง
เป็นที่คาดการณ์ว่าการขยายตัวของดุลการค้าจีนจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลจีนต้องปรับเงินหยวนแข็งค่าขึ้นอีก ขณะที่วันนี้(10 ส.ค.) ธนาคารประชาชนจีน หรือ ธนาคารกลาง ได้ประกาศกำหนดค่ากลางอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐอย่างเป็นทางการ เท่ากับ 6.4167 แข็งค่าถึง 168 จุดจากระดับ 6.4335ของเมื่อวันอังคาร(9 ส.ค.) ทำนิวไฮสูงสุดนับตั้งแต่รัฐบาลจีนได้มีการปรับขึ้นค่าเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐเมื่อเดือนก.ค.ปี 2548
บรรดานักวิเคราะห์ชี้ว่า ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนี้ รัฐบาลจีนอาจปล่อยให้เงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอย่างรวดเร็วขึ้นอีก เพื่อรับมือมือกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงต่อเนื่องโดยล่าสุดดัชนีซีพีไอ หรือ มาตรวัดเงินเฟ้อในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา แตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ 6.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯได้ประกาศว่าจะดำเนินนโยบายการเงินผ่อนปรนเชิงปริมาณ (Quantative Easing) หรือ QE3 ต่อไป เพื่ออัดสภาพคล่องให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
ทั้งนี้รัฐบาลจีนกำลังพยายามคุมเข้มภาวะเงินเฟ้ออย่างสุดความสามารถ โดยนับตั้งแต่เดือนต.ค.2553 รัฐบาลได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วถึง 5 ครั้ง อีกทั้งคุมเข้มการปล่อยกู้ของบรรดาธนาคารจีน
