เอเอฟพี - ชุดส่าหรีเมืองพาราณสี … งานหัตถกรรมผ้าไหมของช่างทอในเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ ที่แสนงดงามจนต้องตะลึง และสตรีอินเดียล้วนเทิดทูนบูชามานานหลายร้อยปี
มาวันนี้ เจอศึกหนักเสียแล้ว เมื่อจู่ ๆ แดนมังกรเกิดมีชุดส่าหรีก็อปปี้สวยงามคล้ายคลึงกัน แถมราคาถูกกว่ามาก ทะลักเข้ามาตีอุตสาหกรรมท้องถิ่นกระจุย
นาย บาดรุ๊ดดิน อันซารี ช่างทอผ้า ซึ่งเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนในเมืองเล่าว่า เพื่อนร่วมอาชีพส่วนใหญ่ ขณะนี้ต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบหาเลี้ยงชีวิตด้วยการเป็นคนขายผัก เดินเร่ขายน้ำชา หรือไปลากรถรับส่งผู้โดยสาร
“เมื่อคนเราสูญเสียบ้าน หมดอาชีพ เขาจะไปที่ไหนได้ล่ะครับ” เขาย้อนถามอย่างฉุนโกรธ
“ผมก็ได้แต่หวังว่างานศิลปะชุดส่าหรีเมืองพาราณสีจะอยู่รอดต่อไป รัฐบาลต้องห้ามการนำเข้าส่าหรีพวกนั้น หรือไม่ก็เก็บภาษีให้หนักขึ้น เพื่อรักษาอุตสาหกรรมในประเทศไว้” นายอันซารีเสนอ
ชุดส่าหรีเมืองพาราณสีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือด้วยศิลปะการเย็บปักถักร้อย อันวิจิตรตระการตา และยังเป็นที่เสาะแสวงหาของเจ้าสาวชาวอินเดียทางตอนเหนือสำหรับสวมใส่ในวันสำคัญแห่งชีวิต
นายรัชนี กานต์ ผู้อำนวยการสมาคมสวัสดิการมนุษย์ ซึ่งเป็นกลุ่มไม่แสวงหากำไร ทำงานเพื่อช่วยเหลือช่างทอในเมืองแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2536 มองเห็นหายนะจากการนำเข้าสินค้าจากเมืองจีน
“ ยกตัวอย่างรายหนึ่ง ลุงอายุ 55 ปี ที่ผมรู้จัก แกเริ่มทอผ้าตั้งแต่อายุ 15 ปี” นายกานต์เล่า
“แกทิ้งหูกทอผ้าไปเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนนี้ทำงานเป็นกรรมกร ยังมีอีกหลายแสนคน ที่เป็นเหมือนอย่างแก”
อุตสาหกรรมทอผ้าในเมืองพาราณสีล่มสลายไปกว่าร้อยละ 60 แล้วตั้งแต่ปี 2546 นายกานต์ระบุ
ในปี 2550 มีรายงานข่าวออกมาถึงขั้นที่ว่าช่างทอหลายคนในเมืองต้องขายโลหิต เพื่อมีรายได้พอประทังชีวิต ในขณะที่ส่าหรีก็อปปี้จากเมืองจีนเกลื่อนกลาดแดนโรตีด้วยสนนราคาราว 2,500 รูปี (55 ดอลลาร์) ขณะที่ส่าหรีของแท้ราคาไม่ต่ำกว่า 4,000 รูปี
ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งทอชี้ว่า จริง ๆ แล้ว ยอดนำเข้าส่าหรีจากจีนของทางการมีจำนวนไม่มาก แต่ที่ทะลักเข้ามานั้น เป็นวิธีการที่แยบยล โดยนำเข้าในลักษณะของผ้า ที่ยังไม่ตัดเย็บ และส่วนมากเป็นสินค้าต้องห้าม ที่ส่งเข้ามาอินเดียผ่านทางเนปาล นอกจากนั้น โรงงานในจีนผลิตผ้าไหมออกมามากมาย โดยได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ แล้วส่งผ้าสำเร็จรูปมาขายในอินเดีย
แม้อินเดียมีการจัดเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดสำหรับผ้าไหมแล้วก็ตาม แต่ยอดการนำเข้ากลับเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยอินเดียมียอดนำเข้าผ้าไหมจากจีนเพิ่มร้อยละ 23 ในช่วงปี 2551-2553 คิดเป็นมูลค่าสูงเกือบ 6,400 ล้านรูปี
นอกจากนั้น แม้รัฐบาลอินเดียหาทางปกป้องส่าหรีผ้าไหม ที่ผลิตในเมืองพาราณสีด้วยการออกสิทธิบัตรคุ้มครองเมื่อปี 2552 แต่แทบไม่ได้ผลเลยในทางปฏิบัติ เช่นตำรวจไม่มีการจับกุมผู้ผลิต หรือขายส่าหรีพาราณสีปลอม
ขณะเดียวกัน ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ทราบเรื่องการออกใบรับรองส่าหรี ที่ผลิตโดยช่างทอพาราณสี และมักแยกแยะความแตกต่างระหว่างส่าหรีของแท้กับของเทียมไม่ออก
นาย อันซารี ซึ่งยังคงดำเนินธุรกิจทอผ้าส่าหรีร่วมกับช่างทออีก 400 ชีวิตไม่อาจคาดการณ์ได้ว่า ธุรกิจของเขาจะดำเนินไปได้นานเพียงใด แต่ก็จะกัดฟันประคับประคองไปให้นานที่สุด
“เราไว้วางใจจีนทุกเรื่องไม่ได้หรอก” เขาสรุป