โรคภัยไข้เจ็บของคนเรานั้นมีสาเหตุได้หลายประการ ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย เช่น กรรมพันธุ์ สารพิษในสิ่งแวดล้อม อากาศ เชื้อโรค การดำเนินชีวิต อุบัติเหตุ เป็นต้น และพุทธศาสนากล่าวถึงก็คือ ผลของกรรม ซึ่งเรื่องนี้การแพทย์ไม่สามารถจะอธิบายได้ ได้แต่อาศัยพระสัพพัญญุตญาณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ดังที่ท่านกล่าวถึงสาเหตุของโรคต่างๆไว้ดังนี้ คือ
“ความเจ็บไข้มีดีเป็นสมุฏฐาน
ความเจ็บไข้มีเสมหะเป็นสมุฏฐาน
ความเจ็บไข้มีลมเป็นสมุฏฐาน
ไข้สันนิบาต (คือ ความเจ็บที่เกิดแต่ดี เสมหะ และลมทั้ง ๓ เจือกัน)
ความเจ็บไข้เกิดแต่ฤดูแปรปรวน
ความเจ็บไข้เกิดแต่ความผลัดเปลี่ยนอิริยาบถไม่สม่ำเสมอ
ความเจ็บไข้เกิดแต่ความเพียรกล้า
ความเจ็บไข้เกิดแต่วิบากกรรม”
(คิริมานนทสูตร อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต)
เรื่องกรรมจึงเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่รู้สาเหตุ ซึ่งมีจำนวนมาก และยังรักษาไม่ได้สำหรับชาวพุทธแล้ว เราต้องคิดถึงเรื่องกรรมไว้เสมอ คือต้องมีกัมมัสสกตาสัทธา คือเชื่อว่า สัตว์มีกรรมเป็นของตน
เราทั้งหลายล้วนแต่เคยทำทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดีมากันแล้วทั้งสิ้น อาศัยการศึกษาและปฏิบัติธรรมก็จะช่วยผ่อนร้ายให้เป็นดี พบแต่ความสุขความเจริญ
การปฏิบัติธรรมจึงเป็นการแก้กรรมและบำบัดโรคที่เป็นผลของกรรมนั่นเอง พระพุทธเจ้าจึงทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นแพทย์เอกของโลก ซึ่งการแพทย์แผนปัจจุบันได้ทำการวิจัยพบว่าการฝึกสมาธิและการเจริญสติช่วยให้โรคหายได้ ดังได้กล่าวไว้บ้างในตอนที่แล้ว
มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งในคัมภีร์ขุททกนิกาย ธรรมบท ซึ่งผู้เขียนอยากจะยกขึ้นมาเล่า คือเรื่องของพระนางโรหิณี พระน้องนางของพระอนุรุทธะซึ่งอดีตเป็นเจ้าศากยะ เมื่อพระอนุรุทธะได้รับนิมนต์มาฉันภัตตาหารในพระราชนิเวศน์ของเธอ ท่านไม่เห็นพระนางออกมาต้อนรับ สอบถามดูจึงทราบว่าพระนางเจ็บป่วยเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งซึ่งรักษาไม่หายขาด ผิวหนังน่าเกลียดเป็นตุ่มพุพอง จึงเกิดความละอาย ไม่กล้าออกไปไหน
เมื่อกลับจากฉันเพล พระอนุรุทธะจึงไปเฝ้าพระพุทธองค์ แล้วเล่าเรื่องพระนางโรหิณี พระพุทธเจ้าทรงเล่าบุพกรรมของพระนางให้ฟังว่า เมื่อก่อนพระนางเป็นมเหสีของพระเจ้าพาราณสี ได้ผูกอาฆาตในหญิงนักฟ้อนคนหนึ่ง สั่งให้เอาผงหมามุ่ยมาโรยไว้ที่ที่นอน ผ้าห่ม และเครื่องใช้ไม้สอย โดยไม่ให้หญิงนั้นรู้ตัว พอเรียกเธอมาแล้วก็โปรยลงที่ตัวเธอ ตามลำตัวก็มีอาการคันพุพองมีผื่นขึ้น เธอได้ขึ้นไปบนที่นอนก็เจออีก นางได้รับความเจ็บปวดและมีอาการคัน แสบร้อนเป็นอันมาก นี่คือกรรมที่พระนางเคยทำไว้กับหญิงนักฟ้อน มาชาตินี้จึงเป็นโรคผิวหนังเป็นตุ่มพุพอง
ฟังแล้วน่าสลดใจนะครับ สิ่งที่เราทำเอาไว้ไม่ว่าจะ ดีหรือเลว ไม่ได้หายไปไหน แต่จะให้ผลในภายหลัง
ต่อมาพระอนุรุทธะได้ไปโปรดพระนาง แล้วแนะนำให้พระนางนำเครื่องประดับไปขาย แล้วนำเงินมาสร้างโรงฉัน ๒ ชั้น ให้พวกพระญาติทั้งหลายช่วยเป็นธุระในการก่อสร้าง เสร็จแล้วถวายสงฆ์ พระเถระแนะนำให้เธอเก็บกวาดโรงฉันให้เรียบร้อย ปูอาสนะ ตั้งหม้อน้ำดื่มไว้ตลอด พระนางก็ทำตามทุกอย่าง สถานที่ที่จัดแจงไว้นั้นก็มีพระภิกษุแวะเวียนมานั่งเป็นประจำ ต่อมาได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานมาถวายภัตตาหาร หลังจากนั้นไม่นานตุ่มตามผิวหนังของพระนางก็ค่อยๆหายไป ผิวหนังก็สวยงามดังเดิม การทำบุญ สร้างโรงฉัน ถวายทาน ในพระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ก็มีผลมาก
ในทางการแพทย์พบว่ามีงานวิจัยของ ศ.โจนคาแบค ซิน แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยแมสสาชูเสตต์ ได้ทำการศึกษาผู้ป่วยโรคเรื้อนกวาง (Psoriasis) จำนวน ๓๗ ราย ซึ่งเป็นมากแล้ว มีผื่นผิวหนังทั่วตัว ที่หนังศีรษะ ซึ่งการรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบันยังรักษาได้ไม่หายขาด โดยแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มที่ ๑ รักษาโดยการฉายแสงอุลตราไวโอเลต ไปที่ผิวหนัง และให้ยากดภูมิต้านทาน กลุ่มที่ ๒ รักษาโดยฉายรังสี และให้เจริญสติร่วมด้วยโดยไม่ให้ยากดภูมิต้านทาน พบว่า ในกลุ่มที่มีการเจริญสติร่วมด้วยนั้น รอยโรคที่ผิวหนังหายเร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ฝึกการเจริญสติถึง ๔ เท่า
ดังนั้น จะเห็นว่าการเจริญสติช่วยให้โรคผิวหนังเรื้อนกวางหายเร็วขึ้น การฝึกจิตจะมีผลให้โรคทางกายหายได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 113 เมษายน 2553 โดย นพ.แพทย์พงษ์ วรพงศ์พิเชษฐ)
ดังที่ท่านกล่าวถึงสาเหตุของโรคต่างๆไว้ดังนี้ คือ
“ความเจ็บไข้มีดีเป็นสมุฏฐาน
ความเจ็บไข้มีเสมหะเป็นสมุฏฐาน
ความเจ็บไข้มีลมเป็นสมุฏฐาน
ไข้สันนิบาต (คือ ความเจ็บที่เกิดแต่ดี เสมหะ และลมทั้ง ๓ เจือกัน)
ความเจ็บไข้เกิดแต่ฤดูแปรปรวน
ความเจ็บไข้เกิดแต่ความผลัดเปลี่ยนอิริยาบถไม่สม่ำเสมอ
ความเจ็บไข้เกิดแต่ความเพียรกล้า
ความเจ็บไข้เกิดแต่วิบากกรรม”
(คิริมานนทสูตร อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต)
เรื่องกรรมจึงเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่รู้สาเหตุ ซึ่งมีจำนวนมาก และยังรักษาไม่ได้สำหรับชาวพุทธแล้ว เราต้องคิดถึงเรื่องกรรมไว้เสมอ คือต้องมีกัมมัสสกตาสัทธา คือเชื่อว่า สัตว์มีกรรมเป็นของตน
เราทั้งหลายล้วนแต่เคยทำทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดีมากันแล้วทั้งสิ้น อาศัยการศึกษาและปฏิบัติธรรมก็จะช่วยผ่อนร้ายให้เป็นดี พบแต่ความสุขความเจริญ
การปฏิบัติธรรมจึงเป็นการแก้กรรมและบำบัดโรคที่เป็นผลของกรรมนั่นเอง พระพุทธเจ้าจึงทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นแพทย์เอกของโลก ซึ่งการแพทย์แผนปัจจุบันได้ทำการวิจัยพบว่าการฝึกสมาธิและการเจริญสติช่วยให้โรคหายได้ ดังได้กล่าวไว้บ้างในตอนที่แล้ว
มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งในคัมภีร์ขุททกนิกาย ธรรมบท ซึ่งผู้เขียนอยากจะยกขึ้นมาเล่า คือเรื่องของพระนางโรหิณี พระน้องนางของพระอนุรุทธะซึ่งอดีตเป็นเจ้าศากยะ เมื่อพระอนุรุทธะได้รับนิมนต์มาฉันภัตตาหารในพระราชนิเวศน์ของเธอ ท่านไม่เห็นพระนางออกมาต้อนรับ สอบถามดูจึงทราบว่าพระนางเจ็บป่วยเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งซึ่งรักษาไม่หายขาด ผิวหนังน่าเกลียดเป็นตุ่มพุพอง จึงเกิดความละอาย ไม่กล้าออกไปไหน
เมื่อกลับจากฉันเพล พระอนุรุทธะจึงไปเฝ้าพระพุทธองค์ แล้วเล่าเรื่องพระนางโรหิณี พระพุทธเจ้าทรงเล่าบุพกรรมของพระนางให้ฟังว่า เมื่อก่อนพระนางเป็นมเหสีของพระเจ้าพาราณสี ได้ผูกอาฆาตในหญิงนักฟ้อนคนหนึ่ง สั่งให้เอาผงหมามุ่ยมาโรยไว้ที่ที่นอน ผ้าห่ม และเครื่องใช้ไม้สอย โดยไม่ให้หญิงนั้นรู้ตัว พอเรียกเธอมาแล้วก็โปรยลงที่ตัวเธอ ตามลำตัวก็มีอาการคันพุพองมีผื่นขึ้น เธอได้ขึ้นไปบนที่นอนก็เจออีก นางได้รับความเจ็บปวดและมีอาการคัน แสบร้อนเป็นอันมาก นี่คือกรรมที่พระนางเคยทำไว้กับหญิงนักฟ้อน มาชาตินี้จึงเป็นโรคผิวหนังเป็นตุ่มพุพอง
ฟังแล้วน่าสลดใจนะครับ สิ่งที่เราทำเอาไว้ไม่ว่าจะ ดีหรือเลว ไม่ได้หายไปไหน แต่จะให้ผลในภายหลัง
ต่อมาพระอนุรุทธะได้ไปโปรดพระนาง แล้วแนะนำให้พระนางนำเครื่องประดับไปขาย แล้วนำเงินมาสร้างโรงฉัน ๒ ชั้น ให้พวกพระญาติทั้งหลายช่วยเป็นธุระในการก่อสร้าง เสร็จแล้วถวายสงฆ์ พระเถระแนะนำให้เธอเก็บกวาดโรงฉันให้เรียบร้อย ปูอาสนะ ตั้งหม้อน้ำดื่มไว้ตลอด พระนางก็ทำตามทุกอย่าง สถานที่ที่จัดแจงไว้นั้นก็มีพระภิกษุแวะเวียนมานั่งเป็นประจำ ต่อมาได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานมาถวายภัตตาหาร หลังจากนั้นไม่นานตุ่มตามผิวหนังของพระนางก็ค่อยๆหายไป ผิวหนังก็สวยงามดังเดิม การทำบุญ สร้างโรงฉัน ถวายทาน ในพระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ก็มีผลมาก
ในทางการแพทย์พบว่ามีงานวิจัยของ ศ.โจนคาแบค ซิน แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยแมสสาชูเสตต์ ได้ทำการศึกษาผู้ป่วยโรคเรื้อนกวาง (Psoriasis) จำนวน ๓๗ ราย ซึ่งเป็นมากแล้ว มีผื่นผิวหนังทั่วตัว ที่หนังศีรษะ ซึ่งการรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบันยังรักษาได้ไม่หายขาด โดยแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มที่ ๑ รักษาโดยการฉายแสงอุลตราไวโอเลต ไปที่ผิวหนัง และให้ยากดภูมิต้านทาน กลุ่มที่ ๒ รักษาโดยฉายรังสี และให้เจริญสติร่วมด้วยโดยไม่ให้ยากดภูมิต้านทาน พบว่า ในกลุ่มที่มีการเจริญสติร่วมด้วยนั้น รอยโรคที่ผิวหนังหายเร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ฝึกการเจริญสติถึง ๔ เท่า
ดังนั้น จะเห็นว่าการเจริญสติช่วยให้โรคผิวหนังเรื้อนกวางหายเร็วขึ้น การฝึกจิตจะมีผลให้โรคทางกายหายได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 113 เมษายน 2553 โดย นพ.แพทย์พงษ์ วรพงศ์พิเชษฐ)