สตูล – สาวสตูลเหยื่อวัคซีน 2009 เผยต้นเหตุเด็กเสียชีวตในครรภ์ไม่ใช่จากยาเสพติดดังแพทย์กล่าวอ้าง เผยสูบใบจากมานานจนได้ลูกสาม อีกทั้งไม่มีผลยาเสพติดในใบตรวเลือด ร้องแพทย์ให้พูดความจริง-แนะแพทย์ไม่ควรฉีดยาให้หญิงในกลุ่มเสี่ยง ทางญาติเตรียมยื่นเรื่องร้องเรียนยัง มูลนิธิปวีณา เข้าช่วยเหลือ
เหตุการณ์ความคืบหน้ากรณีบุตรเสียชีวิตในครรภ์หญิงสตูล หลังจากได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัด 2009 ที่ รพ.ทุ่งหว้าเมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 25 ม.ค.2553 นั้น ล่าสุดผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล ได้เดินทางมาติดตามสถานการณ์สภาพความเป็นอยู่ของ นางวันทนา ละเมาะ อายุ 33 ปีอยู่บ้านเลขที่ 141/1 หมู่ 2 (บ้านชุมชนท่าเรือ) ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล สืบทราบว่าหลังจาก นางวันทนา ได้ออกจาก รพ.สตูลเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ถูกวิจารณ์กันอื้ออึ้งว่า ที่เด็กเสียชีวิตในท้องอันเนื่องมาจากนางวันทนาเสพยาเสพติด จึงรีบรุดเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง
เมื่อไปถึงพบว่า บ้านของ นางวันทนา ปลูกสร้างในป่าโกงกางก่อนที่จะถึงลำคลองท่าเรือประมาณ 500 เมตร และต้องไต่สะพานเข้าไปภายในบ้านราว 30 ม. พบนางวันทนากับนายสุริยา ชนบท อายุ 26 ปี สามี นางมาลี โทวารี อายุ 62 ปีอยู่บ้านเลขที่ 139 อสม.หมู่ 2 ต.ทุ่งหว้า และนางเกษร นกดา อายุ 36 ปีอยู่บ้านเลขที่ 265 หมู่ 2 ต.ทุ่งหว้าเพื่อนบ้านกำลังนั่งปรับทุกข์กันอยู่
นางวันทนา กล่าวว่า ตนไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งและเศร้าใจมาก เมื่อมีข่าวปรากฏออกมาว่า สาเหตุที่บุตรในครรภ์เสียชีวิตนั้นอันเนื่องมาจากตนเสพยาเสพติด ซึ่งเป็นการกล่าวหาที่รุนแรงมาก ซึ่งตนยืนยันว่าตนสูบใบจากเท่านั้นและสูบมานาน ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ตั้งครรภ์คลอดลูกออกไปแล้วเจริญเติบโตไปแล้วถึง 3 คน ก็ไม่เห็นว่าบุตรจะผิดปกติและได้รับอันตรายแต่อย่างใด
ทั้งนี้ นางวันทนา ยืนยันว่า สาเหตุที่ลูกในครรภ์เสียชีวิตนั้น เพราะไปรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 25 ม.ค.2553 ที่ รพ.ทุ่งหว้า หลังรับวัคซีนแล้วนายแพทย์โรงพยาบาลทุ่งหว้าเขียนใบสั่งส่งตัวให้เดินทางไปตรวจที่ รพ.สตูล ซึ่งตนกลับมาบ้านรู้สึกปวดท้องเด็กไม่ดิ้นจึงในวันที่ 26 ม.ค.ตนกับสามีพร้อมญาติๆ ต้องเหมารถไป รพ.สตูล นายแพทย์ทำการอัลตราซาวด์พบว่าเด็กในท้องเสียชีวิตไปแล้วตามที่ปรากฏเป็นข่าว
นางวันทนาเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนไปให้นายแพทย์ทำการตรวจเลือดทำไมไม่พบว่าในเลือดมีผลของการยาเสพติด ซึ่งเรื่องนี้ตนกับสามีจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดกับกลุ่มคนที่มากล่าวหาครอบครัวตน ทั้งนี้อยากฝากไปถึงผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะนายแพทย์ให้ออกมาพูดความจริงว่าบุตรตนเสียชีวิตเพราะสาเหตุใดกันแน่
นายสุริยา ผู้เป็นสามี กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีนายแพทย์คนใดกล้าออกมารับผิดชอบถึงเรื่องที่เกิดเหตุกับเด็กในท้องภรรยาของตนที่เสียชีวิตไปกับการรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 แต่อย่างใด แต่กลับมาได้รับความเสียใจกับข่าวที่มากล่าวหาอย่างไร้เหตุผลมาใส่ความว่าครอบครัวตนติดยาเสพติดอย่างมาก โดยไม่เชื่อว่าบุตรชายในครรภ์ภรรยาตนจะตายเพราะภรรยาสูบใบจากตามที่เป็นข่าว
จึงอยากวิงวอนให้ทางราชการรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้มีเพียงนายสุเมธ ชัยเลิศวณิชกุล ผวจ.สตูลมอบเงินให้ 1,000 บาท รพ.สตูล 2,000 บาท และบรรดาสื่อมวลชนใน จ.สตูลมอบให้อีก 1,000 บาท
นายสุริยา กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ตนกำลังรอผลพิสูจน์สาเหตุจากแพทย์ว่า บุตรชายที่ตายในครรภ์นั้นตายด้วยสาเหตุใด นอกจากนี้ตนอยากให้ทางราชการหยุดการดำเนินงานการให้วัคซีนนี้ไปก่อนเนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ผู้ป่วยรายอื่นได้รับผล บุตรในครรภ์เสียชีวิตเช่นเดียวกัน เพราะที่ผ่านมาพบว่า สภาพเด็กในครรภ์มีแผลพุพองบวมจึงวอนขอให้แพทย์หยุดการให้วัคซีนดังกล่าวโดยเร็ว
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ทางญาติของนางวันทนา และนายสุริยา กำลังเล็งหา นางปวีณา หงสกุล มูลนิธิปวีณา หงสกุลเพื่อเด็กและสตรีเพื่อเข้ามาช่วยเหลือเรื่องดังกล่าวอีกด้วย
เหตุการณ์ความคืบหน้ากรณีบุตรเสียชีวิตในครรภ์หญิงสตูล หลังจากได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัด 2009 ที่ รพ.ทุ่งหว้าเมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 25 ม.ค.2553 นั้น ล่าสุดผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล ได้เดินทางมาติดตามสถานการณ์สภาพความเป็นอยู่ของ นางวันทนา ละเมาะ อายุ 33 ปีอยู่บ้านเลขที่ 141/1 หมู่ 2 (บ้านชุมชนท่าเรือ) ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล สืบทราบว่าหลังจาก นางวันทนา ได้ออกจาก รพ.สตูลเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ถูกวิจารณ์กันอื้ออึ้งว่า ที่เด็กเสียชีวิตในท้องอันเนื่องมาจากนางวันทนาเสพยาเสพติด จึงรีบรุดเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง
เมื่อไปถึงพบว่า บ้านของ นางวันทนา ปลูกสร้างในป่าโกงกางก่อนที่จะถึงลำคลองท่าเรือประมาณ 500 เมตร และต้องไต่สะพานเข้าไปภายในบ้านราว 30 ม. พบนางวันทนากับนายสุริยา ชนบท อายุ 26 ปี สามี นางมาลี โทวารี อายุ 62 ปีอยู่บ้านเลขที่ 139 อสม.หมู่ 2 ต.ทุ่งหว้า และนางเกษร นกดา อายุ 36 ปีอยู่บ้านเลขที่ 265 หมู่ 2 ต.ทุ่งหว้าเพื่อนบ้านกำลังนั่งปรับทุกข์กันอยู่
นางวันทนา กล่าวว่า ตนไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งและเศร้าใจมาก เมื่อมีข่าวปรากฏออกมาว่า สาเหตุที่บุตรในครรภ์เสียชีวิตนั้นอันเนื่องมาจากตนเสพยาเสพติด ซึ่งเป็นการกล่าวหาที่รุนแรงมาก ซึ่งตนยืนยันว่าตนสูบใบจากเท่านั้นและสูบมานาน ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ตั้งครรภ์คลอดลูกออกไปแล้วเจริญเติบโตไปแล้วถึง 3 คน ก็ไม่เห็นว่าบุตรจะผิดปกติและได้รับอันตรายแต่อย่างใด
ทั้งนี้ นางวันทนา ยืนยันว่า สาเหตุที่ลูกในครรภ์เสียชีวิตนั้น เพราะไปรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 25 ม.ค.2553 ที่ รพ.ทุ่งหว้า หลังรับวัคซีนแล้วนายแพทย์โรงพยาบาลทุ่งหว้าเขียนใบสั่งส่งตัวให้เดินทางไปตรวจที่ รพ.สตูล ซึ่งตนกลับมาบ้านรู้สึกปวดท้องเด็กไม่ดิ้นจึงในวันที่ 26 ม.ค.ตนกับสามีพร้อมญาติๆ ต้องเหมารถไป รพ.สตูล นายแพทย์ทำการอัลตราซาวด์พบว่าเด็กในท้องเสียชีวิตไปแล้วตามที่ปรากฏเป็นข่าว
นางวันทนาเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนไปให้นายแพทย์ทำการตรวจเลือดทำไมไม่พบว่าในเลือดมีผลของการยาเสพติด ซึ่งเรื่องนี้ตนกับสามีจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดกับกลุ่มคนที่มากล่าวหาครอบครัวตน ทั้งนี้อยากฝากไปถึงผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะนายแพทย์ให้ออกมาพูดความจริงว่าบุตรตนเสียชีวิตเพราะสาเหตุใดกันแน่
นายสุริยา ผู้เป็นสามี กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีนายแพทย์คนใดกล้าออกมารับผิดชอบถึงเรื่องที่เกิดเหตุกับเด็กในท้องภรรยาของตนที่เสียชีวิตไปกับการรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 แต่อย่างใด แต่กลับมาได้รับความเสียใจกับข่าวที่มากล่าวหาอย่างไร้เหตุผลมาใส่ความว่าครอบครัวตนติดยาเสพติดอย่างมาก โดยไม่เชื่อว่าบุตรชายในครรภ์ภรรยาตนจะตายเพราะภรรยาสูบใบจากตามที่เป็นข่าว
จึงอยากวิงวอนให้ทางราชการรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้มีเพียงนายสุเมธ ชัยเลิศวณิชกุล ผวจ.สตูลมอบเงินให้ 1,000 บาท รพ.สตูล 2,000 บาท และบรรดาสื่อมวลชนใน จ.สตูลมอบให้อีก 1,000 บาท
นายสุริยา กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ตนกำลังรอผลพิสูจน์สาเหตุจากแพทย์ว่า บุตรชายที่ตายในครรภ์นั้นตายด้วยสาเหตุใด นอกจากนี้ตนอยากให้ทางราชการหยุดการดำเนินงานการให้วัคซีนนี้ไปก่อนเนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ผู้ป่วยรายอื่นได้รับผล บุตรในครรภ์เสียชีวิตเช่นเดียวกัน เพราะที่ผ่านมาพบว่า สภาพเด็กในครรภ์มีแผลพุพองบวมจึงวอนขอให้แพทย์หยุดการให้วัคซีนดังกล่าวโดยเร็ว
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ทางญาติของนางวันทนา และนายสุริยา กำลังเล็งหา นางปวีณา หงสกุล มูลนิธิปวีณา หงสกุลเพื่อเด็กและสตรีเพื่อเข้ามาช่วยเหลือเรื่องดังกล่าวอีกด้วย