เอเยนซี – ข่าวครึกโครมคดีฟ้องร้องแย่งชิงมรดกของนีน่า หว่อง เศรษฐินี ซึ่งอำลาสู่ปรโลกมาร่วม 3 ปี ได้ตีแผ่ให้เห็นแง่มุมชีวิต ที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนของมหาเศรษฐีคนหนึ่งบนเกาะฮ่องกง ที่มีผู้คน 7 ล้านชีวิตอาศัยอยู่
นีน่า หว่องเกิดในเมืองเซี่ยงไฮ้ และครั้งหนึ่งเคยครองตำแหน่งสตรีมั่งคั่งที่สุดแห่งเอเชีย เธอสามารถขยายกิจการบริษัทไชน่าเคม กรุ๊ปของเท็ดดี้ หว่อง สามีผู้ถูกลักพาตัวและหายสาบสูญ จนผงาดขึ้นเป็นอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ อันมหึมา โดยมีทาวเว่อร์ออฟฟิศกว่า 200 แห่ง และบริษัท 400 แห่งทั่วโลก
เรื่องที่ชาวฮ่องกงทราบกันดีเกี่ยวกับ นีน่า หว่อง ก็คือรสนิยมการแต่งตัวประหลาด ๆ จนได้รับฉายาจากสื่อฮ่องกงว่า “ลิตเติล สวีตตี้” เพราะเธอดูคล้ายตัวการ์ตูนญี่ปุ่นด้วยเอกลักษณ์ทรงผมถักเปียคู่ สวมกระโปรงมินิสเกิร์ต นอกจากนั้น ยังทราบกันว่าเธอเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์สุด ๆ โดยแทนที่จะใช้ชีวิตอย่างหรูหราสมกับฐานะ นีน่ากลับพอใจกินอาหารตามร้านฟาสต์ฟู้ด และชอบซื้อแบรนด์สินค้า ที่ลดราคา ด้วยไลฟ์สไตล์ต้นทุนต่ำเช่นนี้ แต่ละเดือน เธอจึงใช้เงินส่วนตัวไม่เกิน 385 ดอลลาร์สหรัฐฯ
สิ่งเหล่านี้คือเรื่องราวที่ผู้คนบนเกาะฮ่องกงรู้กันดี
ทว่าเมื่อมีการไต่สวนคดีแย่งมรดก ที่กินเวลานาน 4 เดือน เรื่องราวอันพิสดารพันลึกของเศรษฐินีผู้นี้ ก็พรั่งพรูออกมาจากคำให้การต่อศาลระหว่างฝ่ายพี่น้องของผู้ตาย กับนายโทนี่ ชาน ซินแสฮวงจุ้ย ชู้รัก ผู้อ้างว่า เศรษฐินีได้ยกมรดกทั้งหมด 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 4.3 แสนล้านบาทให้กับตน
จากคำให้การต่อศาลของพยานปากต่าง ๆ ทำให้รู้ว่า นีน่า ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ขณะอายุ 69 ปีเมื่อเดือนเมษายน ปี 2550 เชื่อในศาสตร์ฮวงจุ้ยอย่างชนิดหัวปักหัวปำ จนนำมาสู่การว่าจ้างนายชาน ให้เป็นหมอดูประจำตัวในปี 2535 หลังจากสามีหายตัวไปได้ 2 ปี จนสนิทสนมกันจนเลยเถิดขึ้นขั้นชู้สาวมานานถึง 15 ปีกระทั่งเศรษฐินีเสียชีวิต
แต่น้องสาว 2 คน และน้องชาย 1 คน ของนีน่า ซึ่งแทบไม่เคยปิดบังความชิงชังนายชาน ให้การต่อศาลว่า เขาเป็นซินแสกำมะลอ ที่ล้างสมองเศรษฐินี โดยสัญญาว่าจะใช้วิชาฮวงจุ้ยตามหาเท็ดดี้ ที่หายไปให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถบ่งชี้สถานที่อยู่ของเท็ดดี้ หว่อง อย่างไรก็ตาม พยานที่ขึ้นให้ปากคำระบุว่า นีน่าไม่เคยหมดหวังในการตามหาสามีสุดที่รัก
ซินแสชานยังบอกกับนีน่าว่าจะใช้วิชาหยั่งรู้ฟ้าดินของตน รักษาโรคมะเร็งของเธอให้หาย ซึ่งก็ไม่สำเร็จ รวมเป็นหลายเรื่อง ที่ชานทำนายไม่แม่น หมอดูผู้นี้เคยแนะนำลูกค้าอย่างน้อยๆ คนหนึ่งให้เอาเงินมาเผา แล้วโชคลาภ จะมาหา
จากคำให้การของพยานบ่งบอกว่า นีน่านั้นติดพิธีกรรมเกี่ยวกับเรื่องฮวงจุ้ยงอมแงม ถึงขนาดมีคำสั่งให้ขุดหลุมเป็นการลับไว้ตามอาคารสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ของไชน่าเคมทั่วฮ่องกง ซึ่งต่อมา มีผู้พบว่า หลุมลับเหล่านี้ ฝังแผ่นหยกเต็มหลุม !
รายละเอียดจากการไต่สวนคดีในศาล ยังทำให้รู้ว่า นีน่าเคยหวังว่า ตนจะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากการทำหน้าที่เป็นคนกลางเจรจาระหว่างรัฐบาลปักกิ่งกับองค์ทะไลลามะ ผู้นำจิตวิญญาณของทิเบต
ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า นีน่าได้ดำเนินการเพื่อนำทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยกันจริงหรือไม่ แต่เรื่องที่เรียกเสียงฮือฮาจริง ๆ ก็คือมีการเปิดเผยว่า นีน่าเคยฉีดฮอร์โมนเอสโทรเจนในปริมาณที่สูงด้วยหวังจะมีลูก เมื่ออายุล่วงเลยมาถึงช่วงวัย 50 ปี แต่ความพยายามนั้นล้มเหลว นีน่าเลยถึงขั้นคิดจะพึ่งการทดลองโคลนนิ่งมนุษย์ในอิตาลีกันเลยทีเดียว
แต่ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนอีกเช่นกันว่า เธออยากให้ซินแสชานเป็นพ่อของเด็กหรือไม่
หมอดูโทนี่ ชาน ปัจจุบัน อายุ 50 ปี สมรสแล้ว และมีบุตร 3 คน โดยบุตรคนหนึ่ง ชานตั้งชื่อว่า “Wealthee” เขาให้ปากคำต่อศาลว่า หลังจากเรียนจบ ก็ประกอบอาชีพเป็นบาร์เทนเดอร์ , เซลส์แมนขายเครื่องจักรกล, บ๋อยในร้านเบเกอรี และนักวิจัยการตลาด โดยตั้งบริษัทขายชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ในจีนช่วงต้นทศวรรษ2520 แต่ปิดกิจการในราวปี 2531 และเตะฝุ่นอยู่จนถึงปี 2533 ซึ่งเป็นปีที่เท็ดดี้หายไป
ซินแสชาน ยืนยันอยู่เสมอว่า เขารักนีน่า ซึ่งแก่กว่าตนถึง 23 ปี หมอดูหนุ่มยังมีสิ่งพิสูจน์ความรัก โดยนีน่าได้มอบผมเปียคู่หนึ่งของเธอให้แก่เขา ชานให้ปากคำว่า นีน่าจ้างให้เขาเป็นที่ปรึกษาฮวงจุ้ย จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาอาสานวดผ่อนคลายให้เศรษฐินีพันล้าน เรื่องราวจึงเลยเถิด
ซินแสชานระบุว่า นีน่าได้มอบมรดกทั้งหมดให้ตน โดยทำพินัยกรรมเมื่อปี 2549 และยื่นให้กับเขากับมือ อย่างไรก็ตาม ในคำพิพากษาของศาลเมื่อวันอังคาร (2ก.พ.) ลงความเห็นว่า เป็นพินัยกรรมปลอม และตัดสินยกมรดกทั้งหมดให้มูลนิธิการกุศลไชน่าเคม ที่นีน่าก่อตั้งขึ้น อันเป็นไปตามความประสงค์ของพินัยกรรม ที่เศรษฐินีผู้นี้ทำไว้ก่อนหน้า
ชาน ซึ่งเป็นคนมีรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้าอยู่ตลอดเวลา กล่าวภายหลังทราบคำตัดสิน โดยยืนยันว่า พินัยกรรมนั้นเป็นของจริง และวันหนึ่งความจริงจะปรากฏ อย่างไรก็ตาม หลังคำพิพากษาผ่านไปหนึ่งวัน ตำรวจได้ควบคุมตัวชานไปสอบปากคำ เนื่องจากต้องสงสัยปลอมแปลงพินัยกรรม แต่ยังไม่มีการตั้งข้อหา