มีข่าวที่เหลือเชื่อและน่าเศร้าใจ แต่ผมกลับไม่เห็นใจนักหรอกครับ สำหรับลูกค้าร้านอาหารประเภทที่มีคาราโอเกะ ซึ่งไปดื่มกินจนเพลินแล้วโดนเก็บเงินในราคาแพงบรรลัย
เหยื่อที่โดนนี้ เขาว่าไม่ใช่โดนแค่คนเดียวนะ
มีโดนมาแล้วหลายรายด้วยกัน หลายหมื่นเลยครับ บางคนต้องจอดรถเอาไว้ที่ร้านก็เพราะค่ากินอาหารนั้น 50,000 บาท บางรายโดนไป 30,000 บาท ในบิลบอกว่าเรียกอีหนูมานั่งโต๊ะถึง 7 คน
ตำรวจไม่อยากเชื่อ เพราะลูกค้าพาแฟนไปด้วย ลำพังแฟนอยู่ทั้งคน ทำไมจะต้องเอาคนมาร่วมด้วยถึง 7 คน
ค่าอาหาร และเครื่องดื่มก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
อย่างน้ำแข็ง ล่อเข้าไป 500 บาท , ค่าลูกอมมี 3 เม็ด ตก 300 บาท ซึ่งผมยังไม่เคยเห็นลูกอมเม็ดละ 100 เลยครับ นอกนั้นผ้าเย็นก็แพงนะ เรียกว่าร้านนี้มันแพงไปหมด
สงสัยอยู่ว่า สั่งอาหารทั้งที ไม่รู้ว่าทำไมจึงไม่ถามราคาเสียก่อน
เมนูไม่ใส่ราคามันก็ผิดกฎหมายอยู่แล้ว
หรือรู้ว่ามันแพงยังตะแบงกินดื่มอยู่ ถ้าไม่โง่ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
ผมจึงเรียนท่านผู้อ่านว่า ผมไม่สงสารพวกเหยื่อเหล่านี้สักคน
ร้านที่ว่านี้อยู่ถนนละแวกประชาชื่น ตามข่าวไม่บอกชื่อครับ ความจริง นสพ.ควรบอกชื่อให้ชัดเจน คนอื่นๆ จะได้ไม่เผลอเข้าไปกิน
เหตุที่มันเป็นข่าวขึ้นมาก็เพราะว่าคุณอารีวรรณ สาธรรม ซึ่งเป็นแฟนของ ร.ต.ต.อัฏฐะพันธ์ ใจเที่ยง แกไปแจ้งความว่า โดนฉ้อโกง โดยบอกว่า ร้านอาหารคาราโอเกะเรียกเก็บเงินแพงเกินเหตุนี่แหละ
แล้วยังใช้พวกอันธพาลในร้านข่มขู่ กักขังหน่วงเหนี่ยวไม่ยอมให้ออกจากร้านด้วยจนกว่าจะยอมจ่ายเงิน 30,000 บาท
ต่อรองกันไปๆ มา ร้านยอมลดเหลือ 16,000 บาท
ซึ่งก็ยังแพง
แต่เรื่องที่ว่ายังไม่จบ
เพราะต่อมาคนโดนโกงอีกคน เป็นนักศึกษารายหนึ่งกับพนักงานเข้าใจว่าเพื่อนกันมาที่โรงพักในข้อหาโดนร้านเดียวกันกรรโชกทรัพย์
โดยบอกว่าตนกินเสร็จโดนเก็บเงิน 16,000 บาท
พวกตนไม่ยอม เว้นจะยอมจ่ายก่อน
พวกตนก็จ่ายไปให้ครึ่งหนึ่งก็ 8,000 บาท
เลยออกจากร้านได้
ทางตำรวจก็เลยสืบเรื่องราวต่อ พบว่าร้านนี้ไม่มียังไม่ได้ต่อใบอนุญาตสถานบริการ (ตาม พ.ร.บ.สถานบริการ)
ซึ่งยังถือได้ว่า ก่อความรำคาญให้กับสาธารณชนได้ด้วย
นอกจากนั้นยังเปิดเกินเวลา 24.00 น. อีกต่างหาก
ถ้าจะเอาผิดกันจริงๆ ก็สั่งปิดได้ 1 เดือน
สภาทนายความออกมาให้ความเห็นว่า ที่ทางร้านเรียกเก็บเงินสูงลิบเช่นนี้ แถมยังมีการกักขังหน่วงเหนี่ยวด้วย ผู้เสียหายสามารถร้องเรียกความเสียหายได้ แถมที่โดนข่มขู่ ก็เข้าข่ายผิดตามข้อหากรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา จะโดนโทษจำคุกได้ไม่เกิน 7 ปี ส่วนเรื่องเก็บเงินโดยไม่มีการติดป้ายราคาอาหารก็ถือว่าเป็นการล่อลวง โดนคุกเพิ่มอีก 3 ปี โทษยึดทรัพย์ไว้ (มือถือ) โดนอีก 5 ปี (วิ่งราวทรัพย์)
ทั้งหมดนี้ ผมอยากนำมาเป็นอุทาหรณ์ว่าคนเรานั้นควรใช้สิทธิ และควรรักษาสิทธิด้วย
เมื่อจะสั่งอาหาร คุณเห็นเมนูอาหารไม่ติดราคาก็ควรอย่าสั่ง เรียกบ๋อยมาสอบถามราคาให้แน่ใจว่ามันเท่าไร
จะนึกเอาเองว่าเท่านั้นเท่านี้ไม่ได้
เพราะเมื่อเรียกเก็บเงิน คุณก็เลยโดนค่าน้ำส้ม ตามข่าวสั่งดื่มน้ำส้ม 26 แก้ว เท่ากับดื่ม 2 คน คนละ 13 แก้ว ซึ่งผมก็งง
แต่เชื่อว่าทางร้านมั่วตัวเลข เอาเองมากกว่า
เรื่องนี้ผมสรุปว่า เป็นเรื่องของคนโง่ที่เซ่อซ่ากับคนโลภ ขี้โกง มาเจอะกัน
ไม่มีอะไรมากกว่านี้
เหยื่อที่โดนนี้ เขาว่าไม่ใช่โดนแค่คนเดียวนะ
มีโดนมาแล้วหลายรายด้วยกัน หลายหมื่นเลยครับ บางคนต้องจอดรถเอาไว้ที่ร้านก็เพราะค่ากินอาหารนั้น 50,000 บาท บางรายโดนไป 30,000 บาท ในบิลบอกว่าเรียกอีหนูมานั่งโต๊ะถึง 7 คน
ตำรวจไม่อยากเชื่อ เพราะลูกค้าพาแฟนไปด้วย ลำพังแฟนอยู่ทั้งคน ทำไมจะต้องเอาคนมาร่วมด้วยถึง 7 คน
ค่าอาหาร และเครื่องดื่มก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
อย่างน้ำแข็ง ล่อเข้าไป 500 บาท , ค่าลูกอมมี 3 เม็ด ตก 300 บาท ซึ่งผมยังไม่เคยเห็นลูกอมเม็ดละ 100 เลยครับ นอกนั้นผ้าเย็นก็แพงนะ เรียกว่าร้านนี้มันแพงไปหมด
สงสัยอยู่ว่า สั่งอาหารทั้งที ไม่รู้ว่าทำไมจึงไม่ถามราคาเสียก่อน
เมนูไม่ใส่ราคามันก็ผิดกฎหมายอยู่แล้ว
หรือรู้ว่ามันแพงยังตะแบงกินดื่มอยู่ ถ้าไม่โง่ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
ผมจึงเรียนท่านผู้อ่านว่า ผมไม่สงสารพวกเหยื่อเหล่านี้สักคน
ร้านที่ว่านี้อยู่ถนนละแวกประชาชื่น ตามข่าวไม่บอกชื่อครับ ความจริง นสพ.ควรบอกชื่อให้ชัดเจน คนอื่นๆ จะได้ไม่เผลอเข้าไปกิน
เหตุที่มันเป็นข่าวขึ้นมาก็เพราะว่าคุณอารีวรรณ สาธรรม ซึ่งเป็นแฟนของ ร.ต.ต.อัฏฐะพันธ์ ใจเที่ยง แกไปแจ้งความว่า โดนฉ้อโกง โดยบอกว่า ร้านอาหารคาราโอเกะเรียกเก็บเงินแพงเกินเหตุนี่แหละ
แล้วยังใช้พวกอันธพาลในร้านข่มขู่ กักขังหน่วงเหนี่ยวไม่ยอมให้ออกจากร้านด้วยจนกว่าจะยอมจ่ายเงิน 30,000 บาท
ต่อรองกันไปๆ มา ร้านยอมลดเหลือ 16,000 บาท
ซึ่งก็ยังแพง
แต่เรื่องที่ว่ายังไม่จบ
เพราะต่อมาคนโดนโกงอีกคน เป็นนักศึกษารายหนึ่งกับพนักงานเข้าใจว่าเพื่อนกันมาที่โรงพักในข้อหาโดนร้านเดียวกันกรรโชกทรัพย์
โดยบอกว่าตนกินเสร็จโดนเก็บเงิน 16,000 บาท
พวกตนไม่ยอม เว้นจะยอมจ่ายก่อน
พวกตนก็จ่ายไปให้ครึ่งหนึ่งก็ 8,000 บาท
เลยออกจากร้านได้
ทางตำรวจก็เลยสืบเรื่องราวต่อ พบว่าร้านนี้ไม่มียังไม่ได้ต่อใบอนุญาตสถานบริการ (ตาม พ.ร.บ.สถานบริการ)
ซึ่งยังถือได้ว่า ก่อความรำคาญให้กับสาธารณชนได้ด้วย
นอกจากนั้นยังเปิดเกินเวลา 24.00 น. อีกต่างหาก
ถ้าจะเอาผิดกันจริงๆ ก็สั่งปิดได้ 1 เดือน
สภาทนายความออกมาให้ความเห็นว่า ที่ทางร้านเรียกเก็บเงินสูงลิบเช่นนี้ แถมยังมีการกักขังหน่วงเหนี่ยวด้วย ผู้เสียหายสามารถร้องเรียกความเสียหายได้ แถมที่โดนข่มขู่ ก็เข้าข่ายผิดตามข้อหากรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา จะโดนโทษจำคุกได้ไม่เกิน 7 ปี ส่วนเรื่องเก็บเงินโดยไม่มีการติดป้ายราคาอาหารก็ถือว่าเป็นการล่อลวง โดนคุกเพิ่มอีก 3 ปี โทษยึดทรัพย์ไว้ (มือถือ) โดนอีก 5 ปี (วิ่งราวทรัพย์)
ทั้งหมดนี้ ผมอยากนำมาเป็นอุทาหรณ์ว่าคนเรานั้นควรใช้สิทธิ และควรรักษาสิทธิด้วย
เมื่อจะสั่งอาหาร คุณเห็นเมนูอาหารไม่ติดราคาก็ควรอย่าสั่ง เรียกบ๋อยมาสอบถามราคาให้แน่ใจว่ามันเท่าไร
จะนึกเอาเองว่าเท่านั้นเท่านี้ไม่ได้
เพราะเมื่อเรียกเก็บเงิน คุณก็เลยโดนค่าน้ำส้ม ตามข่าวสั่งดื่มน้ำส้ม 26 แก้ว เท่ากับดื่ม 2 คน คนละ 13 แก้ว ซึ่งผมก็งง
แต่เชื่อว่าทางร้านมั่วตัวเลข เอาเองมากกว่า
เรื่องนี้ผมสรุปว่า เป็นเรื่องของคนโง่ที่เซ่อซ่ากับคนโลภ ขี้โกง มาเจอะกัน
ไม่มีอะไรมากกว่านี้
